สองนาทีกับ
ชาติ กอบจิตติ
หลายวันก่อนได้เจอกับนักเขียนรุ่นใหญ่อย่าง ชาติกอบจิตติ
ผมรู้จักพี่ชาติผ่านงานวรรณกรรมในหลายๆเล่ม ทุกครั้งที่ผ่านแผงหนังสือถ้าเห็นชื่อ
ของชาติ กรอบจิตติเป็นจะต้องเปิดอ่านหรือชำเลืองดูไม่มากก็น้อยแล้วแต่ตามโอกาสที่จะอำนวย
และบ่อยครั้งต้องควักเงินซื้องานเขียนของนักเขียนอย่างชาติ เพียงเหตุผลเพราะ ชอบ
และอยากตามดูการเดินทางของตัวอักษร ผ่านงานเขียนที่สะท้องสังคมอีกด้านที่เข็มข้นของชีวิต
อย่างที่คุณ เสนีย์ เสาวาพงศ์ เขียนถึงชาติว่า สุนทรียภาพตามความเป็นจริงที่เปล่าเปลีอย
เขาวางตัวเป็นผู้แสดงความจริงทางสังคมให้ปรากฏ แล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น
จึงดูเหมือนกับว่าเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์เท่านั้น ผมมีเวลาบนหน้ากระดาษไม่มากที่จะทำความรู้จักกับชายคนนี้
ผ่านบทสนทนา ถึงตัวตนและวิธีคิด แต่อย่างน้อยผมก็มีสองนาทีกับชาติกอบจิตติ
ช่วยupdate ผลงานหน่อยครับ
ก็กำลังเขียนนิยายอยู่แต่ยังอีกนานกว่าจะเสร็จ แล้วก็มีเขียนให้Writerอยู่ ส่วนนิยายที่เขียนอยู่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเสร็จ
มุมมองของคุณชาติที่กรุงเทพจะเป็นเมืองหนังสือโลกเป็นอย่างไรบ้าง
มันก็ต้องมาดูตัวเรา มันสำคัญหรือเปล่ากับการจะเป็นเมืองหนังสือโลก
ถ้าคนในบ้านเราไม่อ่านหนังสือมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ถึงเราไม่เป็นก็ได้แต่ถ้าคนอ่านเราเยอะคนอ่านหนังสือมากกว่าปัจจุบันก็ยังดีกว่า
ดีกว่าเราเป็นแล้วไม่มีคนอ่านหนังสือมันเป็นแบบหลอกๆ
แล้วที่เคยบอกว่างานหนังสือที่จัดขึ้นมาจะทำลายร้านขายหนังสือเล็กๆ
เดียวนี้ร้านเล็กๆก็ไม่ค่อยมีแล้ว เราก็เพียงแต่ได้บอกเท่านั้นเอง ของข้างหน้าจะให้ทำเราก็ไม่มีอำนาจไม่มีกำลังทำ
เดียวนี้ร้านเล็กๆก็คงจะไปกันเกือบๆเกลี้ยงแล้ว
งานเขียนที่เขียนมาคิดว่าถึงจุดสูงสุดหรือยัง
มันไม่ใช่ถึงจุดสูงสุด คือมันยังทำได้อีก ทำได้เรื่อยๆยังมีโอกาสก็ยังทำอยู่ แต่พออายุมันมากขึ้นมันก็เฉื่อยลงแรงเร้ามันก็น้อยลง
มีอย่างอื่นที่ทำแล้วมันสนุก... ตอนนี้ก็ทำไร่ปลูกข้าวอะไรไปเรื่อยๆ
อุดมคติในชีวิตวางไว้อย่างไรบ้าง
มันก็ไม่เชิงอุดมคติหรอก เราก็อยู่ได้พึ่งตัวเองได้ แล้วถ้าไปช่วยคนอื่นได้เราก็ช่วยไป
แล้วก็ไม่พยายามสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเค้า
ที่เหลือจะกินเหล้าเมายาอะไรมันก็เรื่องของเรา ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น