วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปี 55 งานเลือกคน....หรือคนเลือกงาน







แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2555 มีผู้ให้มุมมองและประเมินอัตราการขยายตัวไว้อย่างหลากหลาย ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า เศรษฐกิจจะเติบโตขึ้นจากการฟื้นฟูหลังน้ำลด ที่จะมีผลต่อการขยายตัวด้านอุปสงค์ในประเทศเป็นหลัก ทั้งจากการอุปโภค บริโภค และการลงทุน อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนการใช้จ่าย การลงทุนของรัฐบาล ที่จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
การชี้วัดเศรษฐกิจนั้นมีวิธีการวัดภาพสะท้อนจากหลายวิธี เช่น ดูจากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การบริโภคและการลงทุน ยอดขายปลีก ตัวเลขการว่างงาน และการสร้างบ้านที่อยู่อาศัย....
ตัวเลขการว่างงานก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการวัดค่าเศรษฐกิจ จากข้อมูลของสานักงานสถิติแห่งชาติ ในปี54  ไตรมาสที่ 3พบว่า มีตำแหน่งงานว่าง 101,439 อัตรา มี ผู้สมัครงาน 152,726 คน กรุงเทพมหานครมีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ 1.07 รองลงมาได้แก่ ภาคกลางร้อยละ 0.72 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 0.68 ภาคเหนือร้อยละ 0.55 และภาคใต้ร้อยละ 0.50 ตามลาดับ
 ผลจากการสำรวจธุรกิจทางการค้าและธุรกิจทางการบริการ ทุกๆ2ปี จากสานักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มีสถานประกอบการธุรกิจฯ ทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น1.6 ล้านแห่ง โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณร้อยละ 25.1 และเป็นสถานประกอบการที่มีคนทำ งาน 1-15 คน ในสัดส่วนสูงที่สุดถึงร้อยละ 98.4และการประกอบธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่การขายปลีก(ยกเวนยานยนต์และรถจักรยานยนต์) รวมทั้งการซ้อมแซมของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน ประมาณร้อยละ48.1สำหรับคนทำงานในสถานประกอบการธุรกิจทั่วประเทศมีทั้งสิ้นประมาณ5.0 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นลูกจ้างหรือมีการจ้างงานประมาณ2.8 ล้านคนโดยได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย139,757  บาทต่อคนต่อปีส่วนมูลค้ารายรับ ค่าใช้จ่าย และมูลค่าเพิ่มของสถานประกอบการรวมทั้งสิ้นประมาณ7.6 ล้านล้านบาท
ปี 2554 เป็นปีที่ตลาดแรงงานมีความตื่นตัวมากในประเทศไทย และยังแฝงด้วยความท้าทายในหลายแง่มุม ทำให้ในปีนี้ ตลาดแรงงาน เกิดตำแหน่งงานใหม่ พร้อมการจ้างงานในตำแหน่งต่างๆเพิ่มมากขึ้น และเพื่อการย่างเข้าสู่ปี 2555 อย่างมั่นคง ฝ่ายทรัพยากรบุคคลของ องค์กรต่างๆ ยังคงมุ่งมั่นในการมองหาคนที่ใช่ให้กับองค์กร และในทางตรงกันข้ามทางผู้สมัครก็มองหางานที่ตอบโจทย์ความต้องการใน การทำงานเช่นกัน ซึ่งงานวิจัยจากอเด็คโก้ จะช่วยให้องค์กรต่างๆได้เห็นถึงมุมมองในความต้องการของคนทำงานได้ดียิ่งขึ้น
จากผลการสำรวจระยะเวลาทำงานโดยเฉลี่ยในการทำงานกับบริษัทหนึ่งๆกลุ่มคนทำงานส่วนใหญ่ ให้ความเห็นว่าไม่เกิน 5 ปี สูงที่สุดถึง 38% รองลงมาคือ มากกว่า5 ปี 34% และ เพียงร้อยละ 1 ที่ให้ความเห็นว่าทำงานโดยเฉลี่ยเป็นเวลานาน 1 ปี ซึ่งปัจจัยแปรผัน ตรงระหว่างกลุ่มคนทำงานกับระยะเวลาในการทำงาน ขึ้นอยู่กับเนื้อ งานและผลตอบแทน
สำหรับช่วงเวลาที่คนทำงานสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีที่สุด กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าช่วงเช้า(9.00-11.00 น.) 60% เป็นช่วงเวลาที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีที่สุด รองลงมาคือ ช่วง บ่าย (14.00-16.00 น.) 18% ช่วงเวลาต่อมามีความถี่เท่ากันที่ 9% คือ ช่วงกลางวัน (11.00-14.00 น.)และช่วงเย็น (16.00-18.00 น.)
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ทำงานได้อย่างมีความสุขที่สุด กลุ่มคนทำงาน ส่วนใหญ่ ให้ความเห็นว่าบรรยากาศในการทำงาน 48% เป็นปัจจัย ที่ส่งเสริมให้ทำงานได้อย่างมีความสุขที่สุด รองลงมาคือ เพื่อนร่วม งาน 35% และน้อยกว่า3% คือ หัวหน้างาน และวัฒนธรรม/นโยบาย องค์กร
จากผลสำรวจบริษัทจะเลือกรับคนเข้าทำงาน
 คัดเลือกจากความรู้ความสามารถเป็นหลัก สูงถึง 50% และเหตุผล รองลงมา33% เลือกรับคนเข้าทำงานจากทัศนคติที่มีต่อ การทำงานและ 12% คือความเข้ากันได้กับวัฒนธรรม องค์กร
ความคาดหวังต่อระยะเวลาการทำงานกับบริษัท
43% ตอบว่าอย่างน้อย 3 ปี รองลงมา25% ตอบว่าอย่างน้อย 5 ปีและ 9% จากแบบสอบถามพบว่าแต่ละ บริษัทคาดหวังว่าผู้สมัครงานควรจะมีความภักดีกับ องค์กรและทำงานกับบริษัทเป็นระยะเวลานานอย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป
ความเห็นเรื่องการเสนอเงินเดือนสำหรับการรับ พนักงานใหม่ (%ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับงาน เดิม)
93 % จากผลสำรวจเชื่อว่าในปี 2555 สามารถเสนอ ให้ 5-10 % และมีเพียงแค่ 6% ที่ให้ความเห็นว่าสามารถ เพิ่มขึ้นได้ 10% ขึ้นไป
ปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงาน ทำงาน ได้อย่าง มี ประสิทธิภาพ
36%จากผู้ทำสำรวจให้ความเห็นว่าลักษณะงานที่เหมาะสมจะมีส่วนช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองลงมา21%มองว่าเงินเดือนและผลตอบแทนเป็นสิ่งสำคัญ อันดับต่อมาเพียง16%เชื่อว่าปัจจัยที่สนันสนุนให้พนักงานทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพคือเพื่อนร่วมงาน
ปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงานทำงานได้อย่างมีความสุข
เชื่อว่าบรรยากาศในการทำงาน 64% รองลงมาคือ เพื่อน ร่วมงาน 22% และเพียงแค่ 7% เชื่อว่าเงินเดือนและผล ตอบแทนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้พนักงานทำงานได้อย่างมี ความสุข
นางสาวธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์  ผู้จัดการประจำประเทศ กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย กล่าวว่า จากข้อมูลของบริษัทอเด็คโก้ ตลาดแรงงานในปี 54  อัตราการเติบโตมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนในกลุ่มของพนักงานชั่วคราว หรือสัญญาจ้างมีอัตรการเติบโตมากกว่า 30% โดยประมาณ
คาดว่าปี พ.ศ.2555 ตลาดแรงงานน่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้นอีก เนื่องจากความต้องการด้านแรงงาน ณ ปัจจุบันถึงแม้จะเกิดวิกฤตการณ์น้ำท่วม แต่ความต้องการด้านแรงงานยังไม่ลดลง ส่วนแรงงานที่เกิดใหม่จะเป็นในส่วนของงานดีไซน์ งานติดต่อราชการ งานด้านการแพทย์และวิทยาศาสตร์outsourcing ต้องการเพิ่มขึ้น Talent shortage skill เป็นคนกำหนดราคาตลาด ส่วนงานที่ยังคงเป็นที่ต้องการในอีก 1ถึง 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะเป็นในส่วนของงานขาย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ช่วยหารายได้เข้าองค์กร ตำแหน่งอื่นๆจะเป็น ไอที วิศว และพนักงานสนับสนุนอื่นๆเช่น บัญชี บุคคล ธุรการ ส่วนงานที่อาจจะชะลอตัวลงบ้างอาจเป็นในส่วนของเทคโนโลยีที่ตกยุค ทั้งหมด
ทักษะยังเป็นที่ต้องการ ไม่วาจะเป็นทักษะด้านเทคโนโลยีบางประเภท เช่น Digital marketing, Software ที่เปลี่ยนแปลง, Telecommunicaiton, Network ฯลฯ และทักษะบางส่วนที่ไม่เป็นที่นิยม หรือเลิกใช้แล้ว ส่วนในภาคอุตสาหกรรมบางประเภทที่นำเครื่องจักรมาทดแทนคนทำงาน ดังนั้น ความต้องการคนทำงานไร้ทักษะจะลดลง และต้องการคนทำงานที่เป็นแบบ Semi-skill ที่มาช่วยoperate เครื่องจักรเพิ่มขึ้น
จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ อาจทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากทางอยุธยา ปทุมธานีมายังฝั่งตะวันออกมากขึ้น ทำให้เกิดการโยกย้ายแรงงานตามมาด้วย ทั้งนี้ แนวโน้มความต้องการของตลาดแรงงานหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากการโยกย้ายฐานแรงงานไปสู่พื้นที่ฝั่งตะวันออกทั้งแบบชั่วคราวและถาวรแล้ว อาจทำให้เกิดความต้องการแรงงานมากขึ้นในสายงานเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ ตัวอย่างเช่นงานสายอุตสาหกรรม วิศวกรรม ไอที สายพัฒนาธุรกิจ งานทรัพยากรบุคคล งานบัญชี-การเงิน งานขาย และงานการตลาด และสิ่งที่ยังต้องจับตามองต่อไปคือนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำของภาครัฐหลังจากน้ำท่วม ที่อาจส่งผลให้แรงงานในกลุ่มชนชั้นแรงงานเกิดความสั่งคลอน และอาจยังส่งผลให้เกิดการปรับโครงสร้างเงินเดือนขององค์กร ทำให้องค์กรต่างๆต้องเตรียมพร้อมวางแผนในการรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
เรากำลังก้าวเข้าสู่ปี 2555 ซึ่งคนทำงานจะมีการวางแผนอาชีพที่ดี และมองหาสิ่งที่ตอบโจทย์ด้านอาชีพของพวกเค้ามากที่สุด รวมถึงข้อมูลที่ได้จากงานวิจัย ยังแสดงให้เห็นว่าตลาดแรงงานในอีก 1 ปีข้างหน้า จะเกิดการแข่งขันสูงในการเฟ้นหา คนที่ใช่ให้กับองค์กร เพื่อให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพสูงที่สุด ในทางกลับกัน หากจะให้กล่าวถึงองค์กรในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะต้องรู้ถึงความต้องการขององค์กร และสิ่งที่พวกเขาต้องสร้างให้กับพนักงาน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ใหญ่ หรือเล็กในตลาด ควรเข้าใจถึงความต้องการของคนทำงานว่าต้องการทำงานกับองค์กรที่สร้างแรงจูงใจและแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา สำหรับปี 2012 ดิฉันคาดหวังว่าองค์กรต่างๆในเมืองไทยจะพัฒนาไปเป็นองค์กรที่เต็มไปด้วยความสุขและความสำเร็จนางสาวธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์  กล่าวทิ้งท้าย
ประสบการณ์ในการทำงานยังเป็นสิ่งที่องค์กรต่างๆส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญมากที่สุด ทัศนะคติที่ดีต่องานที่ทำและผู้ร่วมงาน เป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานมีความสุข ในแต่ละวันมนุษย์หมดเวลาไปกับการทำงานถึงหนึ่งในสามของวัน งานบางงานอาจต้องใช้ทั้งประสบการณ์และความสามารถ งานบางงานต้องใช้ความคิดและชั้นเชิงในการบริหาร งานบางงานใช้แรงกายอย่างเดียว งานสร้างความสำเร็จในชีวิตให้กับคน....  งานสร้างรายได้ผลตอบแทน....   งานเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต วันนี้คุณเลือกงานที่ทำหรือว่างานในองค์กรนั้นเลือกคุณให้ทำงาน 


วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ดอกไม้ของเวลา….

ดอกไม้ของเวลา….


โดย เกรียงศักดิ์ ปรีชาศิลป์
           ปีเก่ากำลังจะคืบคลานผ่านไป  วันเวลาที่ผ่านมา จนครบ365วัน ของปี  เราผ่านอะไรมาบ้างในการเดินทางของเวลา  รอยเท้าเวลาที่เคยเหยียบย่ำบนทางเดินชีวิต เป็นระยะทางไกลเท่าไร เราเท่านั้นที่รู้และเข้าใจได้ดี  ทุกคนกำลังเดินทาง  โดยมีเวลาเป็นตัวกำหนด ในรอบ24ชั่วโมงในหนึ่งวัน และ365วันจนครบหนึ่งปี เรามีเท่ากัน  ไม่มีใครโกงเวลา หรือได้เวลาน้อยกว่าใคร เราเท่ากันในเรื่องของเวลา....
คนบางคนอาจเดินทางในรอบปีมาแล้วหลายล้านกิโลเมตร การเดินทางมีชีวิต การเดินทางทำให้ใครหลายคนรู้จักชีวิต  การเดินทางทำให้ใครบางคนมีความหวัง  และการเดินของคนบางคนอาจทำให้หลายคนผิดหวัง  เวลายังคงความเที่ยงตรงอยู่เสมอ  หลายคนกำลังทิ้งเวลาของตัวเองไปกับลมหายใจที่เปลี่ยวเหงา  ในขณะที่บางคนกำลังร่าเริงกับเวลาแห่งเยาว์วัย
เวลาผ่าน...ชีวิตดำเนิน  เหตุการณ์หลายๆอย่างเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ในแต่ละปี   เป็นครูที่ดี สอนให้เราได้คิด...ว่าควรทำอย่างไรในปีต่อไป  ตรวจสอบตัวเองเป็นการทำความเข้าใจกับตัวตนของเรา  ตรวจสอบคนอื่นเป็นการทำความรู้จักกับคนอื่นอย่างผิวเผิน  
ชีวิตมอบสิ่งดีๆหลายอย่างในรอบปี และชีวิตก็มอบความขมขื่นให้เราได้รู้จัก  เรารักในสิ่งที่จากหรือจากในสิ่งที่รักเป็นความขมขื่นพอกัน  ในรอบปีที่ผ่านมา เรามีเสียงหัวเราะมากมายเกิดขึ้น แต่เราก็มีน้ำตาแห่งความเสียใจมาทดแทน มันเป็นความจริงที่โหดร้าย  ชีวิตมีสองด้านเสมอ ฟ้ากว้างข้างบนนั้น ยังไงเราก็ยังยืนอยู่บนดินที่ต่ำใต้เท้าเรา  ได้ประสบกับการพลัดพราก...เราถึงรู้จักการคิดถึง   ท้องที่หิว...เราถึงรู้จักการอิ่ม ได้รับการแบ่งปัน...เราถึงรู้จักการมีน้ำใจ เห็นคนเลว...เราถึงรู้จักคนดี  เหรียญอีกด้านล้วนมีค่าสำหรับคนที่ทำความเข้าใจกับมัน  เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราเติมเต็ม..... 
เวลามีค่าเสมอ  ถึงแม้จะอยู่กับคนที่ไม่รู้จักเวลา ชีวิตเดินออกมาจากปลายมดลูกสู่โลกกว้าง  ร้อยปีที่แล้วไม่มีเรา ...ร้อยปีนี้มีเรา ...และร้อยปีข้างหน้าก็ไม่มีเรา... เป็นความจริงของการมีชีวิตอยู่   ในช่วงเวลาหนึ่งมีเรา แต่อีกช่วงเวลาหนึ่งกลับไม่มีแม้กระทั่งลมหายใจอุ่นๆของเราหรือของใคร  ประวัติของคนที่มาก่อนบางคนมีประวัติที่น่าจดจำ น่ายกย่องหรือเทิดทูน  เป็นประวัติศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่ให้คนรุ่นต่อมาได้รู้จัก แต่บางคนกลับถูกกลืนไปกับกาลเวลาในอดีต ไม่เป็นที่รู้จักหรือน่าจดจำหรือบางทีโลกก็ไม่เคยรู้ว่าเคยมีคนอย่างนี้อยู่ในโลก... ประวัติศาสตร์มีชีวิตกำลังดำเนินต่อไป สำหรับบางคนประวัติศาสตร์ถูกกลืนไปในกาลเวลา..ประวัติศาสตร์ของเขาคนนั้นเป็นสีดำ....
ค่ำคืนของวันที่31ธันวาคม เป็นการนับถอยหลังเริ่มปีใหม่ หลายคนรอคอยช่วงเวลาเข้าปีใหม่กันอย่างร่าเริง คืนที่ทั่วโลกสว่างไสวไปกับไฟประดับสีสันนานาชนิด พลุดอกไม้ไฟ หลากหลายดวงถูกจุด โลกกำลังดีใจ ลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะ หลายคนตื่น หลายคนดีใจ  ที่ตัวเองเข้าสู่ปีใหม่พร้อมกับคนหลายพันล้านคนทั่วโลก  ชีวิตใหม่ในปีใหม่หลายคนรู้สึกอย่างนั้น เราเดินทาง ทุกคนเดินทาง ชีวิตกำลังเดินไปข้างหน้าในการต้อนรับปีใหม่ หรือว่าเวลาชีวิตเรากำลังลดน้อยลง  เป็นคำถามของเวลา….
เลขหนึ่งเป็นความไฝฝันของการทำอะไรที่ต้องการแข่งขัน ที่หนึ่ง อันดับหนึ่ง เลขหนึ่งเป็นจุดสตาร์ทของหลักสิบหลักร้อย  วันที่หนึ่งของปีเป็นหลักเริ่มต้นของปฏิทิน ความสวยงามในเลขหนึ่งของปี บอกถึงความรู้สึกดี การเข้า การไปสู่ หรืออะไรทีกำลังเคลื่อนที่ไป ล้วนถูกทำให้มีความหวัง ในหลักชัยเสมอ  โลกเดินทาง คนเดินทาง เสียงหัวเราะและน้ำตา กำลังทำงานตามหน้าที่ของคนโดยผ่านความรู้สึกเหล่านั้นความดีใจเกิดขึ้นบนเลขหนึ่งในปฏิทินปีใหม่เสมอ และหลายคนกำลังร้องไห้
คนที่ตรวจสอบชีวิตเป็นคนที่ไม่ประมาทในชีวิต คนที่มีเป้าหมายคือคนที่รู้จักทางเดินของชีวิต คนที่อ่อนแอ ยากที่จะไปถึงเป้าหมาย คนที่แข็งแรงไม่ใช้คนกล้ามใหญ่แต่คนที่ยิ่งใหญ่ล้วนมีหัวใจที่เข้มแข็ง โลกกำลังสอนชีวิต บางครั้งสอนด้วยน้ำตา บางทีสอนด้วยชีวิตของคนที่เรารัก บางครั้งโลกเงียบจนได้ยินเสียงความเหงาในตัวเอง บางครั้งโลกสับสนจนดูวุ่นวาย โลกเป็นของคุณ แต่คุณไม่ใช่เจ้าของโลก คุณเติมสีสันได้...คุณเลือกทางเดินได้...คุณจะเป็นอะไรก็ได้.. ในโลกที่มันหมุนอยู่ในใจคุณ ....
จากใจคนทำหนังสือt-news Urbanites ปีใหม่แล้วเริ่มสิ่งใหม่ๆ รอยเท้าของเวลากำลังรอคุณเดินทางไปประทับในหลักชัยของคุณ...สวัสดีปีใหม่ครับ........

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชวนคนไทยช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์







 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระปฐมบรมราชโองการตอบเป็นภาษาไทยพระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทยว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงงานในการสร้างประโยชน์มากมายให้แก่มหาชนชาวสยาม  ท่านทรงตรงตากตำเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย เพื่อให้คนไทยอยู่อย่างมีความสุขบนแผ่นดินของพระองค์ ไม่มีแผ่นดินไหนในประเทศไทย ที่ฝ่าพระบาทของพระองค์มิเคยเยียบย่ำ ท่านทรงเสียสละทุกๆอย่าง เสียสละความสบายส่วนพระองค์ท่าน เพื่อพสกนิกรชาวไทย ทรงงานหนักมาแทบทั้งชีวิต ท่านทรงปรารถนาแค่ว่า อยากให้ประเทศไทยและปวงชนของท่าน มีความสุข ปรองดอง สามัคคีกัน

ทุกวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่หวังดี มีพฤติกรรมจาบจ้วง ล่วงเกินก้าวร้าวพระมหากษัตย์ของปวงชนชาวไทย ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันตาม สื่ออิเทอร์เน็ต ตามเว็บบอดต่างๆที่เกิดขึ้นและค่อนข้างบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับคนไทย  การที่มีคนไม่หวังดีกล้าจาบจ้วง ล้วงเกิน เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจคนไทยทั่วทั้งประเทศที่รักและเทอรทูนพระมหากษัตย์พระองค์นี้ โดยตรง แล้วเราคนไทยจะทำอย่างไรหาคำตอบได้ที่นี้....จากวงเสวนาเรื่อง ธรรมดีที่พ่อทำ  เราจะช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวว่า เรามาพบกันถึงเรื่องการปกป้องสถาบัน  อันที่จริงเราควรจะพูดถึงว่าสถาบันมีความสำคัญอย่างไรที่จะต้องปกป้อง 
คำว่าสถาบันนั้นหมายถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ แล้วก็ยอมรับกันมาต่อเนื่อง มานมนาน  ชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันทั้งสามอย่าง                  
คำว่าพระมหากษัตริย์ คือสถาบัน  ชาติ คือสถาบัน  ศาสนาคือสถาบัน สามอย่างนี้เป็นสิ่งคนไทยเรายอมรับนับถือไม่ใช่ว่ายอมรับนับถือเมื่อวานนี้หรือเมื่อหกสิบปีที่แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยนั้นยอมรับนับถือกันมาอย่างน้อยๆประมาณเกือบแปดร้อยปีแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องถามว่าทำไมจึงจะต้องปกป้อง
สิ่งเหล่านี้เป็น โดยอัตโนมัติ ของคนไทย เราควรจะตะหนักอยู่แล้วว่า ใครล่วงล้ำกล้ำเกินไม่ได้ อย่างที่ ถามผมว่า พฤติกรรมอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนมีหรือเปล่า เมื่อก่อนก็มีครับ
คือคนที่มีความเห็นต่างจากคนอื่น มันมีมาทุกยุคทุกสมัย ระบบการปกครองที่เราเลือกในปัจจุบันนี้ คือการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นสิ่งที่คนไทยยอมรับนับถือ  แต่มันมีคนที่ไม่ยอมรับนับถือแล้วก็ไม่อยากจะใช้ มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  
ท่านทั้งหลายคงจะคุ้นเคยกับคำว่า อนาธิปไตย พวกที่ไม่เอารัฐบาลอะไรทั้งสิ้น มีมาตั้งแต่โบราณเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ แล้วผู้ที่อยากจะเห็นความปกครองแบบระบอบอื่นก็มีมาทุกยุคทุกสมัยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถามว่าการจาบจ้วงลวงเกินพระมหากษัตริย์นี้เมื่อก่อนมีหรือเปล่า...ขอตอบว่ามี แล้วก็มีมาในรูปแบบต่างๆ บางทีก็เขียนหนังสือบางครั้งก็ไปร้องตะโกนด่า เมื่อก่อนนี้จะไม่รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เพราะเหตุว่า การแพร่กระจายในการล่วงล้ำก่ำเกิน ทำได้ไม่เร็ว เหมือนเดียวนี้    ขณะที่เราพูดกันอยู่ที่นี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าใครกำลังถ่ายทอดจากโทรศัพท์ของท่านไปยังที่ไหนหรือเปล่า มันอาจจะโผล่ไปแล้วที่ยูทูบ โผล่ไปแล้วที่เฟสบุ๊ค ในขณะนี้ ชั่วเวลาไม่ถึง ห้านาที  มันจะข้ามโลกไปได้ทันที เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นความชั่วก็ดี จะเป็นความดีก็ดี แพร่ได้เร็วกว่า
 เรากำลังพูดกันเรื่องแพร่ความชั่ว เมื่อก่อนถ้าเป็นหนังสือพิมพ์กว่าหนังสือพิมพ์จะวางตลาดจะใช้เวลานาน อย่างเก่งถ้าวางวันนี้พรุ่งนี้ถึงจะได้อ่าน แต่เดียวนี้ขณะนี้อาจมีคนฟัง มีคนดูเราอยู่ด้วย โดยสื่อในสมัยปัจจุบันนี้
เพราะฉะนั้นมันต่างกัน อย่างที่ ถามผมว่าเมื่อก่อนมันเหมือนสมัยนี้หรือเปล่า ผมของเรียนว่าเมื่อก่อนไม่ถึงขนาดนี้ ด้วยเหตุที่ว่า เป็นเรื่องต่างคนต่างทำ แล้วก็ไม่แพร่ไม่กระจายอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ... เวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องต่างคนต่างทำ เป็นเรื่องที่มีขบวนการ รวมหัวกันเพื่อจะทำ แล้วก็ทำแล้ว ทำอีกทำซ้ำๆ ซากๆ แพร่ไปตรงโนนแพร่ไปตรงนี้
การแพร่ข่าวทาง อิเล็คทรอนิค สมัยนี้มันทำได้แนบเนียน ทำซ้อนทำซ้ำย้ายจากตรงนี้ไปทำตรงโนน หรือถ่ายทอดจากตรงนี้ไปสู่ตรงนั้นตรงนั้นรับช่วง ผมอยากจะพูดถึงพฤติกรรมที่ได้ผ่านมา มาในรูปความหยาบคาย แล้วก็ที่ว่าจาบจ้วงผมรู้สึกว่ายังเบาไป เพราะเหตุว่ามันสามารถที่ จะเอาพระบรมฉายารักษ์ พระฉายยารักษ์ไปดัดแปลงให้เป็นรูปอะไรที่มันยาบคาย ถ้อยคำก็ยาบคาย ภาพก็หยาบคาย แล้วก็ มีหลายคนเหมือนกันที่พูดทำนองว่าเราไม่ควรจะไปยุ่งวุ่นวายถ้าเฉยๆเสีย มันก็อาจจะลดลงไป  ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ
เพราะขณะนี้ เค้าใช้เทคนิคอย่างเดียวกันที่สมัยหนึ่ง สมัยที่เมืองไทยของเรามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องคุกคามของคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เป็นผู้ที่สร้าง การรุกด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ แต่สมัยโนนการโฆษณาชวนเชื่อทำได้จากหนังสือบ้างจากวิทยุกระจายเสียงบ้าง โทรทัศน์ยังไม่ต้องพูดถึงเพราะมันไม่มี เดี๋ยวนี้สถานีวิทยุโทรทัศน์ มีจนผมนับไม่ถ้วน  
เพราะฉะนั้นมันทำได้กว้างขวางกว่าซ้ำซากกว่า เมื่อเป็นเรื่องของการประสงค์ไปด้วยกับการปลุกระดมเพื่อจะให้เข้าใจผิด หลายๆครั้งเข้า ก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่ เป็นเจ้าของทฤษฎี เคาะกะลา ให้หมานึกว่าเป็นอาหาร เค้ากำลังใช้เทคนิคอันนี้กับคนไทย จะเห็นว่ามีคนที่หลงเชื่อไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมอ่านข่าวพบว่าคนไทยอายุ หกสิบแล้ว ยังถูกจับ ศาลลงโทษ ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ คนอายุหกสิบแก่ทันที่จะรู้จักพระเจ้าอยู่หั ว
แล้วก็หลงเชื่อ ถามว่าอะไรทำให้เค้า หลงเชื่อ การย้อมความคิด การย้อมสมองของคนไทยขณะนี้ กำลังทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันแล้วก็ทำอย่างต่อเนื่องนี้คือสิ่งเมืองไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่ 
รูปแบบของพฤติกรรมอันไม่ดีดูน่ากลัวขึ้น พสกนิกรชาวไทยควรจะมีท่าทีในการต่อต้านสิ่งเหล่านี้ อย่างไรบ้าง
 ผมคิดว่าการต่อสู่กับความเท็จ ต้องต่อสู้ด้วยความจริงสิ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทำตั้งแต่ท่านคลองราชย์มาจนกระทั่งถึงวันนี้ ทำมาโดยต่อเนื่องสม่ำเสมอ ท่านทรงทำอะไรก็ตามอยู่ในสายตาของคนไทยมาโดยตลอดขณะนี้ถึงแม้ว่าจะทรงพระประชวนอยู่ เสด็จออกไปไหนมาไหนไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่นะครับ ที่ โรงพยาบาลศิริราช ยังทรงงานอยู่ทุกวัน ใครที่สนใจอยากจะรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงทำอะไรบ้าง ค้นคว้าหาอ่านหาศึกษาได้มากมาย ถ้าใครที่ใช้อินเตอร์เน็ตเพียงแค่คีย์คำว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระราชกรณียกิจ จะพบว่าเอาเท่าไรก็ได้ เว็บไซด์ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมากมายเหลือเกิน เอกสารก็มีเยอะมาก สิ่งที่คนไทยควรจะทำก็คือว่า ควรจะสนใจศึกษาเรื่องนี้ให้มาก
พ่อแม่ผู้ปกครองต้องพูดกับลูกกับหลานเล่าให้ฟังว่าในหลวง ทรงทำอะไรบ้าง ที่เป็นประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเรา ที่ทรงทำนั้นมากมายมหาศาล
ผมเองมีเวลาประมาณสิบสองปีทีได้เข้าไปรับใช้พระยุคลบาท ผมเข้าไปอยู่ใกล้ชิดพระยุคคลบาท ผมเข้าไปในฐานนะนายตำตรวจสำนักประจำ จะต้องตามเสด็จทุกแห่งที่เสด็จ เพราะฉะนั้นผมเป็นพยานบุคคล บอกได้เลยว่า ชั่วเวลาสิบสองปีที่ผมรับใช้ท่านอยู่ พระเจ้าอยู่หัวของเราองค์นี้ไม่ได้ทรงทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยนอกจากเพื่อคนไทยเท่านั้น พูดเป็นภาษาคน บอกว่าหายใจออกมาเป็นประชาชนคนไทย
ไม่ทรงพักผ่อน เพราะไม่ทรงพักผ่อน ท่านทรงตากตรำพระวรกายมากจึง ทรงพระประชวนอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ รับรองได้ครับว่า พระเจ้าแผ่นดินเมืองไหนเมืองไหนก็ไม่ได้ทำอย่างพระเจ้าอยู่หัวของเรา ฝรั่งที่เคยตามเสด็จกับผมอยู่ไม่นานได้ปรารภกับผมบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินอย่างของยูมี พระองค์เดียวในโลก นี้มาจากปากของชาวต่างประเทศเพราะฉะนั้นอะไรที่เราควรจะทำเราควรจะต้องศึกษา ศึกษาแล้วต้องไม่อยู่เฉยๆด้วยต้องเผยแพร่สิ่งที่พระองค์ทรงทำไว้ให้กับคนไทยทั่งประเทศ
อันนี้เป็นการตอบโต้ความเท็จที่ดีที่สุด คนที่หลงเชื่อไปกลายเป็นหมาที่ถูกเคาะจานเปล่าให้ฟังแล้วนึกว่ามีอาหาร มันเป็นอาการที่จะมีอยู่สักชั่วระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าความจริงปรากฏกว้างและทั่วถึงกว่าในไม่ช้าความเท็จเหล่านี้มันไร้ค่าไปเอง นี้เป็นวิธีหนึ่งที่ผมว่าเราควรจะต้องทำกัน ความเท็จเอาชนะได้ด้วยความจริง
นั้นคือพยานบุคคล บุคคลที่รับใช้พระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด  อาจารย์ประมวล รุจนเสรี ที่เขียนหนังสือพระราชอำนาจ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ประเด็นที่เราจะพิทักษ์ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร ผมอยากจะสะท้อนออกมาในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ กว่า30ปี เคยตามเสด็จ ผมกล้ากล่าวได้เต็มปากว่าสถาบันนี้เป็นสถาบันทางการเมืองเพียงสถาบันเดียวที่มีการพัฒนา บทบาทของตัวเอง  ภารกิจของตัวเอง ไปกาวหน้าไกลกว่าสถาบันทางการเมืองอื่นๆในประเทศไทย เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราพระองค์นี้ ท่านทรงวางพระองค์ไว้อยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ทรงเป็นพระประมุขจริง แต่ขณะเดียวกันท่านไม่ได้มีทรงพระราชอำนาจอะไรมากล้นเลย กลับต้องใช้ทรงวิริยะอุตสาหะใช้ธรรมะขั้นสูง ชูให้ประชาชนเห็นว่า ท่านยังจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกเราโดยมุ่งที่ประโยชน์สุขของมหาชน นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายที่ท่านกำหนดไว้
ในฐานะพระประมุขของชาติ แล้วขณะเดียวกันท่านก็กำหนดวิธีทำงานไว้ด้วยว่าปกครองโดยธรรม ซึ่งประกาศเจตนารมของท่าน ต่อหน้ามหาสมาคม เมื่อเป็นอย่านี้แล้วท่านจะทำอย่าไรให้เกิดประโยชน์สุข ท่านทรงรับสั่ง ทรงแนะนำ ทรงอะไรต่างๆหลายรูปแบบ ตั่งแต่เรื่องของ เศรษฐกิจพอเพียง เรื่องรู้รักสามัคคี เรื่องทฤษฎีใหม่  ท่านเฝ้ารับสั่งสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด แล้วท่านเย้าว่าที่พูด ที่พูดปีนี้น่าจะเกิดผลอีกสามปีข้างหน้า ท่านจะเย้าพวกเราอย่างนั้น
นั้นก็หมายความว่าอย่างไร  ท่านทรงวิริยะอุสาหะมากที่จะเอาสิ่งดีๆ มาบอกพวกเรา มานำพวกเราแต่พวกเราไม่คอยมีจิตสำนึกหรือมีความสำนึกที่ จะสนองต่อพระองค์ท่านมากมายนัก
คนที่มีความคิดทางการเมืองตรงกันข้าม คำว่าตรงกันข้ามหมายความว่า ไม่อยากจะไห้มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตร ทรงเป็นประมุข เขาก็เริ่มใช้ สื่อ ใช้ความรู้  ความพยายาม  ใช้พวก ใช้คนของเขา ขยายความคิด ไปสู่ประชาชน มีทั้งการจาบจ้วง ล่วงละเมิดหลายๆอย่าง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจึงได้พบข้อมูลข่าวสารที่น่าตกใจ ตามชนบทหลายๆแห่ง วันนี้ เขาเอาพระบรมฉายยารักษ์ออกแล้ว วันนี้มีหลายๆแห่งเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็กำลังแพร่ขยายออกไปเร็วๆขึ้น แล้วสิ่งที่จะทำลายความรู้สึกประชาชนที่มีความจงรักภักดี  ได้ดีที่สุดก็ไม่มีอะไรกว่าการ ให้ร้ายป้ายสี
 แม้ว่าในรัฐธรรมนูญของเราที่เขียนไว้ว่าองค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่จิตใจคนช่วงหลังนี้ที่ถูกชักชวนไป ทำให้เกิดความหลงผิดไปนั้น ไม่มีคำว่าเคารพสักการะ และจะพยายามจะละเมิดให้ได้ ทั้งๆที่กฎหมายอายาก็มีบทบัญญัติว่าด้วยความผิดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แล้วมีมาตรา112 ที่บอกว่าจะกล่าวโทษไม่ได้จะละเมิดไม่ได้ มีกำหนดโทษสูงแต่สิ่งเหล่านี้ผมเรียนว่า มันก็เกิดมากขึ้นๆ แล้วทำไมมันจึงเกิดมากขึ้น
มันก็สะท้อนให้เราเห็น รัฐบาล ได้เอาใจใส่แก้ไข้สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ผมว่าถึงเวลาแล้ว ถ้าประชาชนของเราตื่น เราเริ่มจากคนในห้องนี้ก่อน เราตะหนักดีแล้วใช่ไหมว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระองค์นี้ เป็นที่รักยิ่งที่สุด เป็นที่เคารพสักการะยิ่งของพวกเรา ถ้าเรารู้ อย่ารู้คนเดียวขยายไป ครอบครัวของเรา เพื่อนเรา พี่น้องเรา ญาติเรา ออกไปสู่สังคมภายนอกให้กว้าง  วันนี้ผมเสียใจมากเหลือเกินทุกคนหลงทิศหลงทาง หลงเงิน  หลงวาจา จนกระทั่งหลงผิด
พ.ต.อ. ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า มันมีหลายอย่าง ที่เราจะต่อสู้และปกป้องท่าน เราต้องสู่อย่างมีสติ แล้วก็อย่าใช้อารมณ์ ถ้าเกิดว่ามีข้อความหมิ่นในหลวง เราไม่ต้องตอบโต้โดยเปิดเผย ไม่ต้องกด Like ไม่ต้องไปด่าไม่ต้องอะไรทั่งนั้น แล้วเอามารายงานส่งเฉพาะคนที่ควรรายงาน ไม่ใช่เมล์ส่งไปให้คนอีกร้อยคน มัน สเหมือนเราเองเป็นคนกระตุ้นสิ่งนี้ให้อื่นได้รับรู้มากขึ้น เพราะฉะนั้นควรส่งรายงานให้ (ดีเอสไอ) ที่  http://www.dsi.go.th แค่นั้นพอแล้ว  แต่จริงๆแล้วคนบางกลุ่ม เค้าก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราอย่าผักให้คนกลุ่มนี้ไปอยู่มุมนั้นเลย...
ผู้เชี่ยวชาญเผย สถิติฟ้องหมิ่นฯ ปีที่ผ่านมาเฉียด 500 ราย เท่าเยอรมันเมื่อ 120 ปีที่แล้วเดวิด สเตร็คฟัสเปิดเผยข้อมูลการเพิ่มขึ้นของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยอ้างอิงข้อมูลของศาลยุติธรรมของไทยว่า ในปีที่ผ่านมา (2553) มีการฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาจำนวนทั้งสิ้น 478 คดี เพิ่มขึ้น
“...วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้วพอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้วก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ลาเจ้านายฝ่ายหน้าลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตรมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิดเมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า อย่าละทิ้งประชาชนอยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง" อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว..." พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เสียง อิสลาม: เทปบันทึกการบรรยายพิเศษเรื่อง"หลักคําสอนของศาสนาอิ...

เสียง อิสลาม: เทปบันทึกการบรรยายพิเศษเรื่อง"หลักคําสอนของศาสนาอิ...: เทปบันทึกการบรรยายพิเศษเรื่อง"หลักคําสอนของศาสนาอิสลาม หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาอิสลาม " โดย อ.บรรจง บินกาซัน โครงการอบรมผู้สนใจอิสล...

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วังพญาไท


(วังพญาไท)






วังพญาไท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่เสด็จทอดพระเนตรการทำนา การปลูกผักและการเลี้ยงสัตว์ วังนี้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำหนักเป็นที่ประทับ รวมถึงส่วนพื้นที่ด้านตรงข้ามกับพระตำหนัก โปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ทำนา รวมทั้ง โรงนา ขึ้นเพื่อประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญหลายครั้ง ณ วังพญาไท
พระที่นั่งพิมานจักรี เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของหมู่พระที่นั่งภายในพระราชวังพญาไท สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระที่นั่งก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้น โดยมีสถาปัตยกรรมทรงโรมันเนสก์ผสมกับทรงกอธิคโดยจุดเด่นของพระที่นั่งองค์นี้อยู่ที่ยอดโดมสีแดงซึ่งในอดีตใช้สำหรับชักธงมหาราชขึ้นเหนือพระที่นั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับ รวมทั้ง บริเวณฝาผนังใกล้กับเพดานและเพดานของพระที่นั่งมีภาพเขียนลายดอกไม้แบบปูนเปียกซึ่งมีความงดงามมากและบานประตูเป็นไม้จำหลักปิดทอง มีจารึกพระปรมาภิไธยย่อเหนือบานประตูว่า "ร.ร.๖ ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระรามราชาธิบดี รัชกาลที่ ๖ พระที่นั่งพิมานจักรีใช้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระมเหสี ปัจจุบันร้านกาแฟนรสิงห์อยู่ในบริเวณพระราชวังพญาไท โดยใช้อาคารเทียบรถพระที่นั่งเป็นที่ตั้งร้าน การตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ภายในร้านนั้น

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

EM จุลินทรีย์ แก้น้ำเน่า จริงหรือ.....

EM จุลินทรีย์ แก้น้ำเน่า จริงหรือ.....





                เป็นกระแสวิภาควิจารณ์กันอย่างกว้างขวางพอสมควร ระหว่างกลุ่มนักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์ กับกลุ่มที่ใช้ EM Ball แล้วได้ผลในการแก้ไขน้ำเน่าเสีย  จากปัญหาอุทกภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้น หลายๆแห่งน้ำเริ่มมีกลิ่นและเน่าเสียน้ำที่ท่วมขังเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดกระแสการแก้ไขน้ำเสียด้วยEM Ball เป็นการเฉพาะหน้า EM Ball แก้ปัญหาน้ำเน่าเสียได้จริงหรือ t-news urbanitesฉบับนี้ เรามาทำความรู้จัก EM Ball คืออะไร  จุลินทรีย์ที่ ชาวบ้านเชื่อว่าแก้ไข้น้ำเสียได้แต่นักวิชาการออกมาปฎิเสธว่าแก้ไขน้ำเน่าไม่ได้เรามาฟังทัศนะของนักวิชาการและประสบการณ์กลุ่มที่ใช้ได้ผลเหล่านั้นกัน
                E.M. ย่อมาจากคำว่า Effective Micro-organisms หมายถึง กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ คิดค้นพบโดย ศาสตราจารย์ ดร.เทรุโอะฮิงะ (TEROU HIGA) แห่งมหาวิทยาลัยริวกิว เมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิคทางชีวภาพ รวบรวมเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ หมวดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ ช่วยปรับปรุงสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น จุลินทรีย์หมวดสร้างสรรค์ที่มีใน EM ได้แก่ กลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แลกโตบาซิลัส เพนนิซีเลี่ยม ไตโคเดอมา ฟูซาเรียม สเตรปโตไมซิสอโซโตแบคเตอ ไรโซเบียม ยีสต์  รา  ฯลฯ
จุลินทรีย์ใน EM ส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่ไม่ต้องการอากาศ และมีพลัง แอนติออกซิเดชั่นซึ่งเป็นพลังสร้างสรรค์ของชีวิต ป้องกันมิให้มีการทำลายชีวภาพที่สำคัญของ เซลล์ได้ป้องกันฤทธิ์ของสารพิษได้หลายชนิด รักษาสภาพธรรมชาติของเซลล์ได้มิให้เสื่อมสภาพรักษาสุขภาพของคนและสัตว์ มิให้เป็นโรคหรือเจ็บป่วยได้ง่าย
ลักษณะโดยทั่วไปของ EM
เป็นของเหลวสีน้ำตาลกลิ่นหอมอมเปรี้ยวอมหวาน เกิดจากการทำงานของกลุ่มจุลินทรีย์ต่าง ๆ ใน E.M.เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีชีวิต ไม่สามารถใช้ร่วมกับสารเคมีหรือ ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เช่น คน สัตว์ พืช และแมลงที่เป็นประโยชน์ ช่วยปรับสภาพความสมดุลของสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ ที่ทุกคนสามารถนำไปเพาะขยายเพื่อช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ลักษณะการผลิต
                เพาะขยายจากจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากกว่า 80 ชนิด จากกลุ่มจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกลุ่มจุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติค กลุ่มจุลินทรีย์ไนโตรเจน กลุ่มจุลินทรีย์แอคทีโนมัยซีทส์ กลุ่มจุลินทรีย์ยีสต์  ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่ได้จากธรรมชาตินำมาเพาะเลี้ยงและขยายให้จุลินทรีย์ขยายตัวด้วยปริมาณที่สมดุลกันด้วยเทคโนโลยีพิเศษ โดยใช้อาหารจากธรรมชาติ เช่น โปรตีน รำข้าว และสารประกอบอื่น ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต

ศาสตราจารย์ กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ อดีตอาจารย์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เราต้องรู้ก่อนว่า น้ำ EMกับน้ำหมักชีวภาพมันต่างกันอย่างไร คำว่าEMมันมาจากภาษาอังกฤษว่า Effective Microorganisms มันมีสองนัยยะ1.มันเป็นชื่อเฉพาะของยี่ห้อนี้ และ 2.ถ้าคุณพูดถึงชื่อ Effective Microorganismsก็เป็นคำทั่วไปมันก็คือจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน จุลินทรีย์ทุกอย่างมันมีประสิทธิภาพในการทำงานทั้งนั้น แต่น้ำหมักชีวภาพมันก็มีเชื้อที่ Effective เหมือนกัน มีประสิทธิภาพแต่เป็นเชื้อคนละตัว เพราะฉะนั้นEffective Microorganismsมันเป็นชื่อรวมทั่วๆไป ทุกอย่างมันมีประสิทธิภาพทั้งนั้นอยู่ที่ว่าจะใช้งานอย่างไร
EM มันมีทั้งน้ำและลูกบอล คนมักจะพูดถึง EM Ball เพราะตอนนี้กระแสมันคือ EM Ball มันคือรูปแบบหนึ่งที่ใช้ EMในน้ำ เมื่อทิ้งแล้วมันจมลงในน้ำมีโอกาสที่จะไม่แพร่กระจายไปมีคนบอกว่าถ้าใส่EM ลงไปในน้ำ น้ำก็จะพัดไปทำให้ EMมันหายไป ก็เลยทำเป็นลูกบอลมันก็อยู่ที่ตรงนี้ กรณีที่ใช้EM ได้ ก็คือเมื่อดินมันไม่ดีเป็นดินที่ไม่มีแบคทีเรีย ไม่มีจุลินทรีย์แล้วเติม EM ลงไปเติมจุลินทรีย์ลงไป ฉะนั้นเมื่อจุลินทรีย์มันไปย่อยเศษพืชจะทำให้เป็นสารอาหารให้กับพืชแน่นอนต้นไม้ต้องดีขึ้นเพราะทำธาตุอาหารให้มัน
แต่ถ้าเกิดว่า คุณขยายผลไปในเรื่องการบำบัดน้ำเสีย อันนี้ต้องคิดใหม่แล้ว ตอนนี้กำลังเป็นกระแสของสังคมไทยในภาวะน้ำท่วม ทุกคนอยากจะทำอะไรสักอย่างในการแก้ปัญหาน้ำเน่าก็โยนลงไปเพื่อจะทำให้น้ำมันหายเน่า สิ่งที่ผมอยากบอกสังคมไทยว่า มันต้องระวังนะต้องคิดรอบคอบว่า ผมไม่เชื่อว่าโยน EM Ball ลงไป หรือว่าเอาน้ำEM ใสลงไปจะทำให้น้ำหายเน่า
 ผมมีเหตุผลอยู่สองอย่าง หนึ่ง ก็คือเรื่องของตัวมันเอง ผมคิดว่ามันไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำเน่าได้อันที่สอง สมมุติว่ามันแก้ปัญหาน้ำเน่าได้ คุณทิ้งลงไปในน้ำท่วมตอนนี้มีน้ำท่วมอยู่เป็นหมื่นล้านลูกบาศก์เมตร คุณทิ้งลงไปเท่าไรมันถึงจะทำให้หายเน่าได้ เป็นไปไม่ได้เลยถึงแม้ว่ามันจะใช้งานได้คุณก็ไม่สามารถทำให้มันมากพอที่จะใช้งานได้ ถ้าน้ำที่มันอยู่ตรงนั้น มันนิ่งมันมีสารอินทรี มันมีขยะมันต้องเน่า แล้วจะมาบอกว่าพอโยนลงไปแล้วเพื่อให้มันหายเน่าสำหรับผมเป็นไปไม่ได้
ที่บอกเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร EM ไม่ว่าจะเป็นบอลหรือน้ำทำมาจากอะไร ทำมาจากน้ำตาลแล้วเอาหัวเชื้อใส่เข้าไป หัวเชื้อก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาเยอะๆ อันนี้คือข้อดี แต่ถามว่าในแหล่งน้ำที่มันเน่าอยู่มันมีจุรินทรีไหม มีเยอะด้วย เอาตัวนี้เติมไปที่เค้าเรียกว่าพระเอก เอาพระเอกเติมไป ส่วนน้ำเน่าเค้าเรียกว่าผู้ร้าย เมื่อเอาพระเอกเติมไปเยอะๆก็ไปสู้กับผู้ร้ายจนผู้ร้ายตายไป น้ำก็เลยสะอาด ตอนนี้ผู้ร้ายมันมีเป็นล้านๆ พระเอกมีอยู่ยี่สิบตัวลงไปก็ตายหมดไม่มีทางชนะหรอก เข้าใจนะครับ ว่า 1.ผมยังไม่เชื่อว่ามันเวิร์ค2.ถ้ามันเวิร์คในปริมาณนี้ผมว่ามันใช้ไม่ได้
แต่สิ่งแวดล้อมมันมีสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และสิ่งแวดล้อมทางสังคม เราพูดสายวิชาการทางวิศวะทางเทคโนโลยีเรามักจะมองทางกายภาพไม่มองทางด้านสังคม เรื่องของสังคมคืออะไรคือเรื่องของจิตใจ ในภาวะน้ำท่วมอย่างนี้เราจะเอาวิชาการอย่างเดียวไปจับโดยบอกว่า EM Ball ไม่ดีอย่างนี้ แต่ในความรู้สึกของคนอยากจะทำอะไรสักอย่างในขณะนี้ ทำไปเถอะทำไปถ้าทำแล้วสบายใจ เพราะเป็นการช่วยกันทำ ทำอะไรก็ทำถ้ามันทำให้เกิดความสามัคคีในชาติได้ ผมว่ามันเป็นสิ่งประเสริฐสุดแล้ว แต่อย่าไปหลงประเด็นว่าทิ้งลงไปแล้วน้ำมันจะหายเน่า ถ้าทำด้วยกับความสบายใจทำด้วยกับความสามัคคีกันในชาติทำให้มีการส่วนรวมทำให้ดีขึ้นทำเถอะ ถ้ามองไปว่ามันแก้ปัญหาน้ำเน่าได้จริงคงเป็นไปไม่ได้
เรื่องความเชื่อEM ตอนนี้มีเยอะด้วย การที่ผมออกมาพูดในตอนนี้จะถูกกระแสสังคมกระหน่ำ แต่ในฐานะที่เราเป็นคนที่มีความรู้ของประเทศเป็นที่ชี้นำประเทศในเชิงวิชาการ เราต้องลุกขึ้นมาพูด บอกว่ามันไม่ใช่ ไม่งั้นประเทศจะหลงทาง แล้วประเทศจะอยู่บนเงื่อนไขของสังคมของความเชื่อไม่ใช่สังคมของความรู้ ประเทศใดก็ตามแต่อยู่ด้วยความเชื่อโดยไม่ใช้ความรู้ประเทศนั้นไปไหนไม่ได้ ออกความคิดเห็นต่างกันได้ แต่ความรู้คือความรู้ความจริงคือความจริง
ชั่งให้ดีระหว่างความเชื่อกับความรู้ จากความเชื่อจะทำสิ่งที่เป็นอะไรก็ตามแต่ในช่วงเหตุการณ์อย่างนี้ ผมยังว่าทำเถอะนะทำไป แต่อย่าเอาความคิดแบบนี้ไปครอบนำจนกระทั้งว่าต่อไปในอนาคตของประเทศ ระบบน้ำเสียในเมืองไทยไม่ต้องสร้าง โรงงานอุตสาหกรรมทั้งหลายไม่จำเป็นจะต้องกลัวเรื่องสิ่งแวดล้อม โยนๆเข้าไปแล้วมันจะหาย ถ้าเป็นอย่างนั้นประเทศลมจมนะครับ ต้องฟังดีๆคิดดีๆอย่าเอาความเชื่อมาชนะความรู้
ส่วนทางด้านคุณมนัส หนูสวี รองประธานมูลนิธิเกษตรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่าจริงๆแล้วที่มีนักวิชาการออกมาให้ข่าวแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ในกรณีบำบัดน้ำเสียที่ท่านนักวิชาการเป็นห่วงผมเห็นด้วยกับท่านตรงที่ว่าถ้าเอาจุลินทรีย์กลุ่มยีสบาซีรัตกลุ่มเชื่อราต่างๆซึ่งมันอยู่ในน้ำหมักที่คุณบอกว่าเป็น EMแล้วเอาผสมใส่ดินบ้างใสอะไรบ้างแล้วเรียกว่า EM Ball การใช้EM Ball ชุดนี้จะไม่ได้ผลนอกจากไม่ได้ผลแล้วจะไม่ดีด้วยจะทำให้น้ำเน่าเสียยิ่งขึ้นด้วย
ต้องขอบคุณนักวิชาการท่านนั้นแต่บังเอิญนักวิชาการท่านนั้นอาจไม่ทราบว่าจุลินทรีย์ในกลุ่มที่พวกเราทำกันอยู่ทั้งประเทศเป็นจุลินทรีย์ที่ถูกผลิตโดยดร.เทรุโอะฮิหงะจากประเทศญี่ปุ่นในจุลินทรีย์กลุ่มนี้จะกินแก๊สตระกูลไข่เน่าแก๊สพิษทั้งหลายกินคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อจุลินทรีย์เชื้อโรคอยู่ใกล้EM ที่สังเคราะห์แสงจุลินทรีย์เชื้อโรคก็จะอ่อนแอแล้วก็เสียชีวิตเพราะฉะนั้นในทฤษฏีที่พวกเรากำลังทำอยู่ในขณะนี้วันนี้คนทั้งประเทศกำลังปั้นEM บอลกันอย่างขนานใหญ่ทุกคนมีจิตใจเดียวกันก็คืออยากจะช่วยเรื่องน้ำท่วมและทุกคนได้มีประสบการณ์ในการน้ำไปใช้แล้วได้ผล
ยกตัวอย่างที่ผมได้ทำมาที่เกาะสมุยมีบ่อขยะเตาเผาขยะเสีย ขยะ57,000 ตันเน่า ชาวบ้านเดินขบวน เราใช้EM Ball EM น้ำสเปร์เข้าไปแล้วเราดูดน้ำจากบ่อขยะเอามาใส่บ่อบำบัดใส่EM Ball ลงไปใส่EM น้ำลงไป พรุ่งนี้น้ำเป็นสีชมพูมะรืนนี้น้ำเริ่มใสอีกอาทิตย์ปล่อยปลาได้แล้วเพราะฉะนั้นน้ำเน่าอยู่ในกรุงเทพและปริมณทล ในความรู้สึกผมถือว่าไม่ยากเลย
ต้อนนี้มีปัญหาน้ำท่วมส้วมเต็มเอาไปทุบใส่โถส้วม ส้วมที่เคยเต็มวันนี้เอาไปทุบใส่พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้น แล้วมันก็ไม่ต้องสูบแล้วถ้าเอาไปใส่ในตู้เย็น ตู้เย็นมีปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น กลิ่นอะไรต่างๆประมาณ1เดือนตู้เย็นจะไม่มีกลิ่นเลยEM Ball จะทำงานถ้าเอาไปบี้ใส่ต้นไม้ ต้นไม้จะงามมาก เพราะฉะนั้น EM Ball จะเป็นอเนกประสงค์ สำหรับตอนนี้น้ำท่วมก็เป็นเรื่องดีนะเราจะได้รู้จักประโยชน์ EM Ball กันมากขึ้น
ดร.เชิดชัย เชี่ยวธีรกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านจุลชีววิทยา คณบดีคณะเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ กล่าวอย่างมั่นใจว่า ขอยืนยันว่า EM Ball ใช้ได้ผลจริง แต่ที่บอกว่าการกำจัดน้ำเสียที่ดีที่สุดคือ การใช้กังหันชัยพัฒนา ด้วยหลักการเติมออกซิเจนลงไปในน้ำให้มากที่สุด อันนี้จริง แต่น้ำท่วมทั่วประเทศจะให้ไปติดตั้งกังหันทั่วประเทศมันเป็นไปไม่ได้ แต่ยังมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนอีกมากมายที่สามารถนำมา บำบัดน้ำเสียได้ เพราะมันทำงานเป็นห่วงโซ่อาหารที่กินต่อกันเป็นทอดๆ โดยเฉพาะในภาวะน้ำท่วมนี้ จะมีเชื้อบาดทะยัก เชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตราย แต่เมื่อส่งจุลินทรีย์  EM ลงไป มันจะไปกินเชื้อพวกนี้ให้หมด ทำให้น้ำปลอดภัยขึ้น
วันนี้ถ้าเรามองที่ต้นเหตุ น้ำเน่าเสีย คืออะไร ในแต่ละวันคนจะทำน้ำเสียเฉลี่ย25ลิตรต่อคนต่อวันการใส่ EM ลงไปในน้ำเน่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ชาวบ้านบางส่วนบอกว่าใช้ได้ผล นักวิชาการบอกว่าไม่ได้ผลเหมือนกับเป็นการยืนอยู่กันคนละมุมความคิด วันนั้นน้องน้ำมา วันนี้น้องน้ำเริ่มเน่าส่งกลิ่นเหม็น ปัญหาที่แท้จริงมันคืออะไร วันนั้นคนทิ้งขยะกันมากขึ้น วันนั้นคนจะทำน้ำเสียเฉลี่ย25ลิตรต่อคนต่อวัน วันนั้นคนไม่ได้ให้ความสนใจกับธรรมชาติ วันนั้นคนไม่ได้จัดการกับขยะให้เป็นระบบ  วันนี้เราจึงเริ่มมองเห็นปัญหาที่เราได้ก่อขึ้น  วันนี้เราจะจัดการปัญหาน้ำเน่าเสียอย่างไรให้เป็นระบบมันเป็นคำถาม อนาคตจะเป็นคำตอบว่าเราแก้ไขปัญหาน้ำเน่าอย่างไรในวันนี้...    

คมความคิดจากหนังสือวันที่ถอดหมวก

คมความคิดจากหนังสือวันที่ถอดหมวก
โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
สำนักพิมพ์สามัญชน


“ถ้าคิดแค่ตัวเองหรือกลุ่มตัวเองอยากทำอะไร บางทีมันคิดไม่ออกหรอก แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ บ้านเมืองต้องการอะไร บางทีอาจจะคิดได้มากขึ้นว่ามีสิ่งไหนบ้างที่ควรทำ”
                “แล้วมันต่างกันยังไง ผมไม่เห็นเข้าใจ” ลูกชายผมประท้วง
                “ต่างสิ พ่อหมายถึงว่า เธอจะต้องขยายกรอบคิดของตัวเองออกไปให้คลุมทั้งพื้นที่ที่กว้างขึ้น และกาลเวลาที่ยาวนานขึ้นจึงจะมองเห็นปัญหาและทางออกชัดเจนขึ้น จากนั้นจะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร”
                “พ่อช่วยยกตัวอย่างหน่อย”
                “ได้ ตัวอย่างเช่นคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบหน้าท่านนายกฯและเรียกร้องให้นายกฯลาออก ถึงตอนนี้ พอท่านนายกฯประกาศเว้นวรรค บางคนก็คิดว่าเรื่องจบแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ขณะที่บางคนยังสนุก ไม่อยากให้จบ แต่ก็นึกไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะใช้กรอบคิดที่ค่อนข้างจำกัด เห็นแค่ความรู้สึกของตัวเอง หรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับนายกรัฐมนตรีเท่านั้น การมองปัญหาแบบนี้ด้านหนึ่งก็ทำให้มองข้ามสาเหตุทางสังคมที่ทำให้คุณทักษิณขึ้นมากุมอำนาจ กระทั่งมองข้ามความเป็นมาเชิงโครงสร้างของปัญหาผู้นำการเมือง และอะไรๆ อีกหลายอย่าง ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้เน้นหนักในการต่อต้าน เกลียดชังตัวบุคคลจนบางทีล้ำเส้นความถูกต้องเหมาะควรไปเหมือนกัน....
                “แต่ถ้าเราขยายกรอบคิดไปสู่การทำความเข้าใจสังคมไทยและการเมืองไทยทั้งระบบ กระทั่งมองให้เห็นการพัฒนาประเทศที่ผิดพลาด และผลกระทบของยุคโลกาภิวัตน์ เราก็จะเห็นว่า ปัญหาไม่ได้เริ่มที่คุณทักษิณและไม่ได้จบที่คุณทักษิณ ถ้าอยากแก้ไขความโน้มเอียงในเรื่องอำนาจกันจริงๆ ก็คงต้องปฎิรูปกันทั้งสังคม และระบอบการเมืองการปกครองต้องไม่ปล่อยให้มีคนจนเต็มบ้านเต็มเมือง คอยเลือกเศรษฐีขึ้นมากุมอำนาจ จากนั้นไม่ปล่อยให้ผู้กุมอำนาจทำอะไรก็ได้โดยปราศจากกระบวนการตรวจสอบ...มองจากมุมนี้แล้ว เรื่องที่ต้องทำมันมากมายเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าจะไปจบลงเมื่อไหร่”
                “ครับๆ ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ” เจ้าหนูคนเล็กของผมพยักหน้าพลางฉายแววตาท้อแท้ ซึ่งผมเดาไม่ถูกเหมือนกันว่าเขารู้สึกเหนื่อยใจกับพ่อหรือปัญหาบ้านเมือง
                “จำไว้ก็แล้วกัน” ผมกล่าวแบบสรุปรวบยอด “ทุกครั้งที่มีปัญหาแล้วคิดอะไรไม่ออก เธอต้องขยายกรอบคิดให้กว้างออกไป ขยายกรอบเวลาในความคิดให้ยาวนานขึ้น แล้วจะมองเห็นทางออกเอง”
                พูดตรงๆตอนคุยกับลูกผมไม่ได้เตรียมถ้อยคำเอาไว้ล่วงหน้า มิหนำซ้ำยังไม่รู้ชัดด้วยว่าตัวเองซ้อนวิธีคิดแบบนี้ ไว้ในหัวตั้งแต่เมื่อใด ผมรู้แต่ว่าพอเริ่มตอบคำถามมันก็พรั่งพรูออกมาตอนแรกนึกว่าเป็นผลพวงของการฝึกฝนทางด้านสังคมศาสตร์แต่คิดไปคิดมากลับรู้สึกไม่ใช่
สังคมศาสตร์อาจมีส่วนจัดแต่งภาษาบ้าง แต่รากฐานจริงๆ น่าจะเป็นประสบการณ์ชีวิตผสมกับบทเรียนทางธรรมมากกว่า
นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมนึกถึงลำแดดเหนือม่านฝน....

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พระราชวังสราญรมย์

พระราชวังสราญรมย์

พระราชวังสราญรมย์ เป็นวังที่ตั้งอยู่ระหว่างพระบรมมหาราชวัง กับวัดราชประดิษฐ์ ทางทิศตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นบ้านพักรับรองพระราชอาคันตุกะ
พระราชวังสราญรมย์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ออกแบบโดย เฮนรี อาลาบาศเตอร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2409 โดยมีเจ้าพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภ (เพ็ง) เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้าง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อใช้เป็นที่ประทับ พระราชทานนามว่า สราญรมย์ แต่เสด็จสวรรคตก่อนที่จะสร้างเสร็จ
ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานวังสราญรมย์ให้เป็นที่ประทับชั่วคราว ของเจ้านายเมื่อแรกออกจากวังหลวง ก่อนที่วังประทับถาวรจะก่อสร้างแล้วเสร็จ อาทิเช่น เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ทรงประทับเมื่อ พ.ศ. 2419 - 2424 ระหว่างก่อสร้างวังบูรพาภิรมย์ ต่อมาทรงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นที่ประทับรับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ
เมื่อ พ.ศ. 2428 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงขอพระราชทานวังสราญรมย์ ให้เป็นที่ทำการของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อมาจึงย้ายไปที่ตึกราชวัลลภ ในพระบรมมหาราชวัง ใน พ.ศ. 2430 วังสราญรมย์ จึงใช้เป็นบ้านพักรับรองพระราชอาคันตุกะ เรื่อยมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์โปรดให้เรียก "วังสราญรมย์" เป็น "พระราชวังสราญรมย์" ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2459
ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะภายใต้การดูแลของกรุงเทพมหานคร)ได้มีการก่อสร้างทำเนียบองคมนตรีและอาคารสำนักราชเลขาธิการ ซึ่งยังใช้เป็นที่ทำการของคณะองคมนตรีมาจนปัจจุบันนี้

สะบ้าชาวมอญ

                                                                สะบ้าชาวมอญ






การเล่นสะบ้าของชาวมอญ เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่มีมาแต่สมัยโบราณชนิดหนึ่ง เล่นสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย การเล่นสะบ้าของชาวมอญนั้นไม่ใช่แต่เพื่อความสนุกสนานอย่างเดียวเท่านั้น การเล่นสะบ้านี้เล่นเพื่อให้รู้จักความหมายและความเป็นมาของบรรพบุรุษที่เคยใช้วิถีชีวิต ในการเลือกคู่ครองหรือหาคู่ครอง ซึ่งการเล่นสะบ้านี้ให้สังเกตกิริยาท่าทางของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย การสังเกตกิริยาท่าทางของทั้งสองฝ่ายนั้น ให้สังเกตจากท่าเล่น เช่น ท่าดีด ก็ให้ทั้งชายและหญิงได้สังเกตนิ้วว่าอ่อนหรือเปล่า ถ้าท่านั่งให้สังเกตว่านั่งเรียบร้อยหรือเปล่า
ประเพณีการเล่นสะบ้าของชาวมอญนิยมเล่นในเทศกาลสงกรานต์ในช่วงระหว่างวันที่ 13-18 เมษายน จุดประสงค์ของการเล่น เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ คลายความเหน็ดเหนื่อยจากการประกอบภารกิจต่างๆ ในรอบปี อีกประการหนึ่ง เล่นเพื่อความสมัครสมานสามัคคีซึ่งกันและกัน ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์นี้ ชาวมอญถือเป็นช่วงวันขึ้นปีใหม่จึงหยุดการประกอบภาระกิจการงานเพื่อพักผ่อน จัดตกแต่งทำความสะอาดบ้านเรือน ทำบุญตักบาตร ฟังธรรม จำศีล สรงน้ำพระภิกษุสามเณร รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่