วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชวนคนไทยช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์







 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระปฐมบรมราชโองการตอบเป็นภาษาไทยพระราชทานอารักขาแก่ประชาชนชาวไทยว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงงานในการสร้างประโยชน์มากมายให้แก่มหาชนชาวสยาม  ท่านทรงตรงตากตำเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย เพื่อให้คนไทยอยู่อย่างมีความสุขบนแผ่นดินของพระองค์ ไม่มีแผ่นดินไหนในประเทศไทย ที่ฝ่าพระบาทของพระองค์มิเคยเยียบย่ำ ท่านทรงเสียสละทุกๆอย่าง เสียสละความสบายส่วนพระองค์ท่าน เพื่อพสกนิกรชาวไทย ทรงงานหนักมาแทบทั้งชีวิต ท่านทรงปรารถนาแค่ว่า อยากให้ประเทศไทยและปวงชนของท่าน มีความสุข ปรองดอง สามัคคีกัน

ทุกวันนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่หวังดี มีพฤติกรรมจาบจ้วง ล่วงเกินก้าวร้าวพระมหากษัตย์ของปวงชนชาวไทย ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันตาม สื่ออิเทอร์เน็ต ตามเว็บบอดต่างๆที่เกิดขึ้นและค่อนข้างบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับคนไทย  การที่มีคนไม่หวังดีกล้าจาบจ้วง ล้วงเกิน เหมือนเป็นการทำร้ายจิตใจคนไทยทั่วทั้งประเทศที่รักและเทอรทูนพระมหากษัตย์พระองค์นี้ โดยตรง แล้วเราคนไทยจะทำอย่างไรหาคำตอบได้ที่นี้....จากวงเสวนาเรื่อง ธรรมดีที่พ่อทำ  เราจะช่วยปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้อย่างไร
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตหัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ กล่าวว่า เรามาพบกันถึงเรื่องการปกป้องสถาบัน  อันที่จริงเราควรจะพูดถึงว่าสถาบันมีความสำคัญอย่างไรที่จะต้องปกป้อง 
คำว่าสถาบันนั้นหมายถึงสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับ แล้วก็ยอมรับกันมาต่อเนื่อง มานมนาน  ชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันทั้งสามอย่าง                  
คำว่าพระมหากษัตริย์ คือสถาบัน  ชาติ คือสถาบัน  ศาสนาคือสถาบัน สามอย่างนี้เป็นสิ่งคนไทยเรายอมรับนับถือไม่ใช่ว่ายอมรับนับถือเมื่อวานนี้หรือเมื่อหกสิบปีที่แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยนั้นยอมรับนับถือกันมาอย่างน้อยๆประมาณเกือบแปดร้อยปีแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องถามว่าทำไมจึงจะต้องปกป้อง
สิ่งเหล่านี้เป็น โดยอัตโนมัติ ของคนไทย เราควรจะตะหนักอยู่แล้วว่า ใครล่วงล้ำกล้ำเกินไม่ได้ อย่างที่ ถามผมว่า พฤติกรรมอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อก่อนมีหรือเปล่า เมื่อก่อนก็มีครับ
คือคนที่มีความเห็นต่างจากคนอื่น มันมีมาทุกยุคทุกสมัย ระบบการปกครองที่เราเลือกในปัจจุบันนี้ คือการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นสิ่งที่คนไทยยอมรับนับถือ  แต่มันมีคนที่ไม่ยอมรับนับถือแล้วก็ไม่อยากจะใช้ มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว  
ท่านทั้งหลายคงจะคุ้นเคยกับคำว่า อนาธิปไตย พวกที่ไม่เอารัฐบาลอะไรทั้งสิ้น มีมาตั้งแต่โบราณเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ แล้วผู้ที่อยากจะเห็นความปกครองแบบระบอบอื่นก็มีมาทุกยุคทุกสมัยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถามว่าการจาบจ้วงลวงเกินพระมหากษัตริย์นี้เมื่อก่อนมีหรือเปล่า...ขอตอบว่ามี แล้วก็มีมาในรูปแบบต่างๆ บางทีก็เขียนหนังสือบางครั้งก็ไปร้องตะโกนด่า เมื่อก่อนนี้จะไม่รู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เพราะเหตุว่า การแพร่กระจายในการล่วงล้ำก่ำเกิน ทำได้ไม่เร็ว เหมือนเดียวนี้    ขณะที่เราพูดกันอยู่ที่นี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าใครกำลังถ่ายทอดจากโทรศัพท์ของท่านไปยังที่ไหนหรือเปล่า มันอาจจะโผล่ไปแล้วที่ยูทูบ โผล่ไปแล้วที่เฟสบุ๊ค ในขณะนี้ ชั่วเวลาไม่ถึง ห้านาที  มันจะข้ามโลกไปได้ทันที เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นความชั่วก็ดี จะเป็นความดีก็ดี แพร่ได้เร็วกว่า
 เรากำลังพูดกันเรื่องแพร่ความชั่ว เมื่อก่อนถ้าเป็นหนังสือพิมพ์กว่าหนังสือพิมพ์จะวางตลาดจะใช้เวลานาน อย่างเก่งถ้าวางวันนี้พรุ่งนี้ถึงจะได้อ่าน แต่เดียวนี้ขณะนี้อาจมีคนฟัง มีคนดูเราอยู่ด้วย โดยสื่อในสมัยปัจจุบันนี้
เพราะฉะนั้นมันต่างกัน อย่างที่ ถามผมว่าเมื่อก่อนมันเหมือนสมัยนี้หรือเปล่า ผมของเรียนว่าเมื่อก่อนไม่ถึงขนาดนี้ ด้วยเหตุที่ว่า เป็นเรื่องต่างคนต่างทำ แล้วก็ไม่แพร่ไม่กระจายอย่างรวดเร็วถึงขนาดนี้ ... เวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นเรื่องต่างคนต่างทำ เป็นเรื่องที่มีขบวนการ รวมหัวกันเพื่อจะทำ แล้วก็ทำแล้ว ทำอีกทำซ้ำๆ ซากๆ แพร่ไปตรงโนนแพร่ไปตรงนี้
การแพร่ข่าวทาง อิเล็คทรอนิค สมัยนี้มันทำได้แนบเนียน ทำซ้อนทำซ้ำย้ายจากตรงนี้ไปทำตรงโนน หรือถ่ายทอดจากตรงนี้ไปสู่ตรงนั้นตรงนั้นรับช่วง ผมอยากจะพูดถึงพฤติกรรมที่ได้ผ่านมา มาในรูปความหยาบคาย แล้วก็ที่ว่าจาบจ้วงผมรู้สึกว่ายังเบาไป เพราะเหตุว่ามันสามารถที่ จะเอาพระบรมฉายารักษ์ พระฉายยารักษ์ไปดัดแปลงให้เป็นรูปอะไรที่มันยาบคาย ถ้อยคำก็ยาบคาย ภาพก็หยาบคาย แล้วก็ มีหลายคนเหมือนกันที่พูดทำนองว่าเราไม่ควรจะไปยุ่งวุ่นวายถ้าเฉยๆเสีย มันก็อาจจะลดลงไป  ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ
เพราะขณะนี้ เค้าใช้เทคนิคอย่างเดียวกันที่สมัยหนึ่ง สมัยที่เมืองไทยของเรามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องคุกคามของคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เป็นผู้ที่สร้าง การรุกด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ แต่สมัยโนนการโฆษณาชวนเชื่อทำได้จากหนังสือบ้างจากวิทยุกระจายเสียงบ้าง โทรทัศน์ยังไม่ต้องพูดถึงเพราะมันไม่มี เดี๋ยวนี้สถานีวิทยุโทรทัศน์ มีจนผมนับไม่ถ้วน  
เพราะฉะนั้นมันทำได้กว้างขวางกว่าซ้ำซากกว่า เมื่อเป็นเรื่องของการประสงค์ไปด้วยกับการปลุกระดมเพื่อจะให้เข้าใจผิด หลายๆครั้งเข้า ก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียที่ เป็นเจ้าของทฤษฎี เคาะกะลา ให้หมานึกว่าเป็นอาหาร เค้ากำลังใช้เทคนิคอันนี้กับคนไทย จะเห็นว่ามีคนที่หลงเชื่อไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อไม่กี่วันมานี้ผมอ่านข่าวพบว่าคนไทยอายุ หกสิบแล้ว ยังถูกจับ ศาลลงโทษ ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ คนอายุหกสิบแก่ทันที่จะรู้จักพระเจ้าอยู่หั ว
แล้วก็หลงเชื่อ ถามว่าอะไรทำให้เค้า หลงเชื่อ การย้อมความคิด การย้อมสมองของคนไทยขณะนี้ กำลังทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันแล้วก็ทำอย่างต่อเนื่องนี้คือสิ่งเมืองไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญอยู่ 
รูปแบบของพฤติกรรมอันไม่ดีดูน่ากลัวขึ้น พสกนิกรชาวไทยควรจะมีท่าทีในการต่อต้านสิ่งเหล่านี้ อย่างไรบ้าง
 ผมคิดว่าการต่อสู่กับความเท็จ ต้องต่อสู้ด้วยความจริงสิ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทำตั้งแต่ท่านคลองราชย์มาจนกระทั่งถึงวันนี้ ทำมาโดยต่อเนื่องสม่ำเสมอ ท่านทรงทำอะไรก็ตามอยู่ในสายตาของคนไทยมาโดยตลอดขณะนี้ถึงแม้ว่าจะทรงพระประชวนอยู่ เสด็จออกไปไหนมาไหนไม่ได้ พระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่นะครับ ที่ โรงพยาบาลศิริราช ยังทรงงานอยู่ทุกวัน ใครที่สนใจอยากจะรู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ทรงทำอะไรบ้าง ค้นคว้าหาอ่านหาศึกษาได้มากมาย ถ้าใครที่ใช้อินเตอร์เน็ตเพียงแค่คีย์คำว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ พระราชกรณียกิจ จะพบว่าเอาเท่าไรก็ได้ เว็บไซด์ที่ทำเกี่ยวกับเรื่องนี้มีมากมายเหลือเกิน เอกสารก็มีเยอะมาก สิ่งที่คนไทยควรจะทำก็คือว่า ควรจะสนใจศึกษาเรื่องนี้ให้มาก
พ่อแม่ผู้ปกครองต้องพูดกับลูกกับหลานเล่าให้ฟังว่าในหลวง ทรงทำอะไรบ้าง ที่เป็นประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเรา ที่ทรงทำนั้นมากมายมหาศาล
ผมเองมีเวลาประมาณสิบสองปีทีได้เข้าไปรับใช้พระยุคลบาท ผมเข้าไปอยู่ใกล้ชิดพระยุคคลบาท ผมเข้าไปในฐานนะนายตำตรวจสำนักประจำ จะต้องตามเสด็จทุกแห่งที่เสด็จ เพราะฉะนั้นผมเป็นพยานบุคคล บอกได้เลยว่า ชั่วเวลาสิบสองปีที่ผมรับใช้ท่านอยู่ พระเจ้าอยู่หัวของเราองค์นี้ไม่ได้ทรงทำอะไรเพื่อคนอื่นเลยนอกจากเพื่อคนไทยเท่านั้น พูดเป็นภาษาคน บอกว่าหายใจออกมาเป็นประชาชนคนไทย
ไม่ทรงพักผ่อน เพราะไม่ทรงพักผ่อน ท่านทรงตากตรำพระวรกายมากจึง ทรงพระประชวนอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ รับรองได้ครับว่า พระเจ้าแผ่นดินเมืองไหนเมืองไหนก็ไม่ได้ทำอย่างพระเจ้าอยู่หัวของเรา ฝรั่งที่เคยตามเสด็จกับผมอยู่ไม่นานได้ปรารภกับผมบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินอย่างของยูมี พระองค์เดียวในโลก นี้มาจากปากของชาวต่างประเทศเพราะฉะนั้นอะไรที่เราควรจะทำเราควรจะต้องศึกษา ศึกษาแล้วต้องไม่อยู่เฉยๆด้วยต้องเผยแพร่สิ่งที่พระองค์ทรงทำไว้ให้กับคนไทยทั่งประเทศ
อันนี้เป็นการตอบโต้ความเท็จที่ดีที่สุด คนที่หลงเชื่อไปกลายเป็นหมาที่ถูกเคาะจานเปล่าให้ฟังแล้วนึกว่ามีอาหาร มันเป็นอาการที่จะมีอยู่สักชั่วระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าความจริงปรากฏกว้างและทั่วถึงกว่าในไม่ช้าความเท็จเหล่านี้มันไร้ค่าไปเอง นี้เป็นวิธีหนึ่งที่ผมว่าเราควรจะต้องทำกัน ความเท็จเอาชนะได้ด้วยความจริง
นั้นคือพยานบุคคล บุคคลที่รับใช้พระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด  อาจารย์ประมวล รุจนเสรี ที่เขียนหนังสือพระราชอำนาจ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ประเด็นที่เราจะพิทักษ์ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร ผมอยากจะสะท้อนออกมาในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ กว่า30ปี เคยตามเสด็จ ผมกล้ากล่าวได้เต็มปากว่าสถาบันนี้เป็นสถาบันทางการเมืองเพียงสถาบันเดียวที่มีการพัฒนา บทบาทของตัวเอง  ภารกิจของตัวเอง ไปกาวหน้าไกลกว่าสถาบันทางการเมืองอื่นๆในประเทศไทย เพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวของเราพระองค์นี้ ท่านทรงวางพระองค์ไว้อยู่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ ทรงเป็นพระประมุขจริง แต่ขณะเดียวกันท่านไม่ได้มีทรงพระราชอำนาจอะไรมากล้นเลย กลับต้องใช้ทรงวิริยะอุตสาหะใช้ธรรมะขั้นสูง ชูให้ประชาชนเห็นว่า ท่านยังจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินของพวกเราโดยมุ่งที่ประโยชน์สุขของมหาชน นั่นคือเป้าหมายสุดท้ายที่ท่านกำหนดไว้
ในฐานะพระประมุขของชาติ แล้วขณะเดียวกันท่านก็กำหนดวิธีทำงานไว้ด้วยว่าปกครองโดยธรรม ซึ่งประกาศเจตนารมของท่าน ต่อหน้ามหาสมาคม เมื่อเป็นอย่านี้แล้วท่านจะทำอย่าไรให้เกิดประโยชน์สุข ท่านทรงรับสั่ง ทรงแนะนำ ทรงอะไรต่างๆหลายรูปแบบ ตั่งแต่เรื่องของ เศรษฐกิจพอเพียง เรื่องรู้รักสามัคคี เรื่องทฤษฎีใหม่  ท่านเฝ้ารับสั่งสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด แล้วท่านเย้าว่าที่พูด ที่พูดปีนี้น่าจะเกิดผลอีกสามปีข้างหน้า ท่านจะเย้าพวกเราอย่างนั้น
นั้นก็หมายความว่าอย่างไร  ท่านทรงวิริยะอุสาหะมากที่จะเอาสิ่งดีๆ มาบอกพวกเรา มานำพวกเราแต่พวกเราไม่คอยมีจิตสำนึกหรือมีความสำนึกที่ จะสนองต่อพระองค์ท่านมากมายนัก
คนที่มีความคิดทางการเมืองตรงกันข้าม คำว่าตรงกันข้ามหมายความว่า ไม่อยากจะไห้มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตร ทรงเป็นประมุข เขาก็เริ่มใช้ สื่อ ใช้ความรู้  ความพยายาม  ใช้พวก ใช้คนของเขา ขยายความคิด ไปสู่ประชาชน มีทั้งการจาบจ้วง ล่วงละเมิดหลายๆอย่าง เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว เราจึงได้พบข้อมูลข่าวสารที่น่าตกใจ ตามชนบทหลายๆแห่ง วันนี้ เขาเอาพระบรมฉายยารักษ์ออกแล้ว วันนี้มีหลายๆแห่งเกิดขึ้นแล้ว แล้วก็กำลังแพร่ขยายออกไปเร็วๆขึ้น แล้วสิ่งที่จะทำลายความรู้สึกประชาชนที่มีความจงรักภักดี  ได้ดีที่สุดก็ไม่มีอะไรกว่าการ ให้ร้ายป้ายสี
 แม้ว่าในรัฐธรรมนูญของเราที่เขียนไว้ว่าองค์พระมหากษัตริย์ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้ แม้จะเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่จิตใจคนช่วงหลังนี้ที่ถูกชักชวนไป ทำให้เกิดความหลงผิดไปนั้น ไม่มีคำว่าเคารพสักการะ และจะพยายามจะละเมิดให้ได้ ทั้งๆที่กฎหมายอายาก็มีบทบัญญัติว่าด้วยความผิดที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แล้วมีมาตรา112 ที่บอกว่าจะกล่าวโทษไม่ได้จะละเมิดไม่ได้ มีกำหนดโทษสูงแต่สิ่งเหล่านี้ผมเรียนว่า มันก็เกิดมากขึ้นๆ แล้วทำไมมันจึงเกิดมากขึ้น
มันก็สะท้อนให้เราเห็น รัฐบาล ได้เอาใจใส่แก้ไข้สิ่งเหล่านี้หรือเปล่า ผมว่าถึงเวลาแล้ว ถ้าประชาชนของเราตื่น เราเริ่มจากคนในห้องนี้ก่อน เราตะหนักดีแล้วใช่ไหมว่าพระเจ้าอยู่หัวมีพระองค์นี้ เป็นที่รักยิ่งที่สุด เป็นที่เคารพสักการะยิ่งของพวกเรา ถ้าเรารู้ อย่ารู้คนเดียวขยายไป ครอบครัวของเรา เพื่อนเรา พี่น้องเรา ญาติเรา ออกไปสู่สังคมภายนอกให้กว้าง  วันนี้ผมเสียใจมากเหลือเกินทุกคนหลงทิศหลงทาง หลงเงิน  หลงวาจา จนกระทั่งหลงผิด
พ.ต.อ. ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า มันมีหลายอย่าง ที่เราจะต่อสู้และปกป้องท่าน เราต้องสู่อย่างมีสติ แล้วก็อย่าใช้อารมณ์ ถ้าเกิดว่ามีข้อความหมิ่นในหลวง เราไม่ต้องตอบโต้โดยเปิดเผย ไม่ต้องกด Like ไม่ต้องไปด่าไม่ต้องอะไรทั่งนั้น แล้วเอามารายงานส่งเฉพาะคนที่ควรรายงาน ไม่ใช่เมล์ส่งไปให้คนอีกร้อยคน มัน สเหมือนเราเองเป็นคนกระตุ้นสิ่งนี้ให้อื่นได้รับรู้มากขึ้น เพราะฉะนั้นควรส่งรายงานให้ (ดีเอสไอ) ที่  http://www.dsi.go.th แค่นั้นพอแล้ว  แต่จริงๆแล้วคนบางกลุ่ม เค้าก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นเราอย่าผักให้คนกลุ่มนี้ไปอยู่มุมนั้นเลย...
ผู้เชี่ยวชาญเผย สถิติฟ้องหมิ่นฯ ปีที่ผ่านมาเฉียด 500 ราย เท่าเยอรมันเมื่อ 120 ปีที่แล้วเดวิด สเตร็คฟัสเปิดเผยข้อมูลการเพิ่มขึ้นของคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยอ้างอิงข้อมูลของศาลยุติธรรมของไทยว่า ในปีที่ผ่านมา (2553) มีการฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาจำนวนทั้งสิ้น 478 คดี เพิ่มขึ้น
“...วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้วพอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้วก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ลาเจ้านายฝ่ายหน้าลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตรมีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิดเมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า อย่าละทิ้งประชาชนอยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะ "ละทิ้ง" อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว..." พระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น