วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จากเชียงใหม่ ‘ไนท์’ ถึงชุมชนรอบข้าง คำตอบที่กำลังจะเป็นรูปธรรม


จากเชียงใหม่ไนท์ถึงชุมชนรอบข้าง คำตอบที่กำลังจะเป็นรูปธรรม



ยิ่งมนุษย์อยู่กับความเจริญก้าวหน้ามากเท่าไร มนุษย์กลับยิ่งค้นหาความดั่งเดิมของการเป็นอยู่มากขึ้น และยิ่งมนุษย์มีความสะดวกสบายทันสมัยมากเท่าใด มนุษย์มักจะโหยหาธรรมชาติที่สมบูรณ์และอยากที่จะเรียนรู้ความเป็นวิถีในการดำเนินชีวิตของคนพื้นถิ่นมากเท่านั้น และบ่อยครั้งที่ผมรู้สึกหงุดหงิดกับการถูกจัดฉากและตบแต่งในความเป็นวิถีของคนพื้นเมือง เพื่อสร้างมูลค่าด้านการตลาดเพียงอย่างเดียว
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาเรียนรู้วิถีชีวิตแบบชะโงกหน้าเที่ยวชมโดยมีเวลาจำกัด ไม่สามารถที่จะเรียนรู้ชีวิตในความเป็นวิถีอย่างแท้จริง รีบมารีบชมรีบถ่ายรูป ทุกอย่างถูกกำหนดไว้อย่างแน่นโดยบริษัททัวร์ต่างๆ ที่หวังจากการสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆกัน โดยชุมชนต่างได้เพียงแค่เศษเงินจากนักท่องเที่ยวหรือบริษัททัวร์ไม่ได้เป็นการเรียนรู้ชีวิตผ่านวิถีของคนพื้นเมืองอย่างแท้จริง
     ปฎิเสธไม่ได้ว่า จังหวัดเชียงใหม่ถือว่าเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้าน การท่องเที่ยว เศรษกิจ และการลงทุน  เพราะจังหวัดเชียงใหม่รองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือประเพณีวัฒนธรรมของชาวล้านนา ด้วยความหลากหลายในการท่องเที่ยวของเชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ นิยมเดินทางมาเที่ยวเชียงใหม่ เป็นจุดหมายปลายทาง เมื่อเชียงใหม่เป็นเมืองของนักท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจและการลงทุนมีการเติบโตตามลำดับ และคุณภาพของนักท่องเที่ยวเองก็มีความหลากหลาย ทำให้เกิดความซับซ้อนของคุณภาพนักท่องเที่ยวมากขึ้นเช่นกัน

หากจะมีหน่วยงานที่สร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนก็คงเป็นหน่วยงานรัฐที่ชื่อว่าองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูและของสำนักนายกรัฐมนตรีถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างพื้นที่พิเศษในการท่องเที่ยวอย่างยังยืน เที่ยวอย่างไรให้เกิดความยั่งยืน เมื่อ 9 ปีที่แล้วคงเป็นคำถามให้กับหลายๆคน รวมทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน  สำหรับนักท่องเที่ยวเองไม่เข้าใจว่าในการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนเป็นอย่างไร สำหรับชาวบ้านก็ยังไม่แน่ใจว่าเรามีอะไรที่จะทำให้เป็นการท่องเที่ยวได้บ้าง มันเป็นการท่องเที่ยวแบบไหนและจะเที่ยวอย่างไร จาก 9 ปี ที่ อพท. ดำเนินงาน ให้แนวคิดกับชาวบ้านตามชุมชนต่างๆและคัดเลือกพื้นที่พิเศษสำหรับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 9 ปีผ่านมาเริ่มมีเค้าโครงแห่งการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ก่อตัวเป็นรูปธรรมมากขึ้นในหลายเขตพื้นที่พิเศษของอพท. ตัวอย่างเช่นชุมชนรอบเชียงไหม่ไนท์ซาฟารีก็เป็นตัวอย่างที่น่าทำความเข้าใจ




เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเมื่อแรกเริ่มเปิดให้บริการในตอนเย็นจนถึงกลางคืนและจัดเป็นสวนสัตว์กลางคืนแห่งแรกในประเทศไทยแต่ในปัจจุบันเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการที่สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งวันทั้งในเวลากลางวันและในเวลากลางคืนและอาจนับได้ว่าเป็นสวนสัตว์กลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีขนาดใหญ่เป็น 2 เท่าของไนท์ซาฟารีสิงคโปร์

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุยมีส่วนเชื่อมระหว่างตำบลแม่เหียะอำเภอเมืองและตำบลหนองควาย อำเภอหางดง มีเนื้อที่ทั้งหมด 819 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา
เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเทื่ยวชมอย่างมากมายในแต่ละปี
และมันเป็นการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนได้อย่างไร ในเมื่อชาวบ้านไม่ได้มีส่วนรวมกับการท่องเที่ยว

         จากปัญหาดังกล่าว อพท.ได้ทำการคัดเลือกเขตพื้นที่พิเศษ ในบริเวณรอบเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เพื่อเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน

 นาย สุรเชษธ์ ตาคำมา ผู้ใหญ่บ้านบ้านสันลมจอย ต.สุเทพ กล่าวว่า ในชุมชนของเรามีความพร้อมในระดับหนึ่ง ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวชม   กอรปกับพื้นที่ชุมชนที่อยู่ติดกับตีนดอย ทำให้สามารถเที่ยวได้หลายอย่าง เช่น นักท่องเที่ยวสามารถปั่นจักรยานเที่ยวชมในหมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง หรือจะเป็นการเดินป่าศึกษาธรรมชาติไปจนถึงทางต้นน้ำบนดอย แต่สิ่งที่เราขาดอยู่เป็น การจัดการความรู้ในการท่องเที่ยวและการทำความเข้าใจกับชาวบ้านในการเปิดรับนักท่องเที่ยว จุดแข็งของเราคือ ชุมชนมีความเป็นธรรมชาติเพราะอยู่ตีนดอย มีเส้นทางเดินป่าไปหาแหล่งต้นน้ำ เรามีหมู่บ้านม้ง มีวิถีการเป็นชุมชนเกษตรและอยู่ใกล้เมืองเชียงใหม่ ที่สามารถเดินทางได้ง่าย เราสามารถที่จะเชื่อมโยงกับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้

บ้านไร่กองขิง ต.หนองควาย ก็เป็นอีกเขตพื้นที่หนึ่งที่สามารถเชี่อมโยงการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น การนวดสมุนไพรในกับนักท่องเที่ยว การปลูกผักอินทรีย์และส่งขายที่ไนท์ซาฟารี ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยว  รูปธรรมที่ก่อต่อขึ้นมาด้วยวิธีคิดของ อพท.ในการเป็นพี่เลี้ยงแนะนำ การท่องเที่ยวทำให้ชาวบ้านเกิดการตื่นตัวในระดับหนึ่ง และสิ่งที่จะต่อยอดในการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงคงเป็นตัวของนักท่องเที่ยว ที่มาแล้วได้อะไร และไปบอกต่อให้คนอื่นได้รู้มันคงเป็นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต ถ้ามีการสนับสนุบและการจัดการที่ดีต่อไปในอนาคต...


วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คิตาล....คำถามแรกเรื่องความสะอาดของเด็กมุสลิม




คิตาล....คำถามแรกเรื่องความสะอาดของเด็กมุสลิม


เรื่องและภาพ อดัม
ห้องรับรองสี่เหลียมในมัสยิดหลังนั้นดูไม่ใหญ่มากนัก มันสร้างความอึดอัดและความกังวลเข้ามาครอบงำจิตใจอย่างมาก  ผู้ใหญ่หลายคนรุมเข้ามาจับตัวเรา ห้องนั้นเป็นห้องแอร์ที่เย็น แต่ในใจกลับร้อนรุ่มด้วยความกลัว  ในห้องไม่มีพิธีอะไร ไม่มีควันธูปหรือบทสวดขอพรต่างๆ มีแต่เสียงพูดคุยถึงเรื่องที่เราไม่รู้จัก    ผู้ใหญ่หลายคน คอยปลอบใจกับสิ่งที่เรากำลังจะเจอ  ด้านขวามือของชายคนนั้นมีกระเป๋าเครื่องมือสีดำใบใหญ่  มีถาด กระโถน สำลี  เข็มฉีดยา ผ้าพันแผล ขนาดต่างๆ แอลกอฮอล์ ยาแก้ปวด ที่ หนีบหนังทำมาจากทองเหลือง กรรไกร และมีด  วางอยู่ข้างกาย ในตำแหน่งที่หยิบจับได้ง่าย
ชายคนที่นั่งใกล้เครืองมือมีรอยยิ้มที่มุมปาก  เสียงอันแผ่วเบาหลุดออกจากปากชายคนนั้น บอกให้นอนลง ผู้ใหญ่หลายคนจับเราล้มลงนอน  เราฝืนไม่อยากนอน แต่ก็สู่แรงไม่ไหว ขาทั้งสองข้าง ถูกกดทับด้วยขาของชายคนที่นั่งใกล้กับเครื่องมือ หรือที่ผู้ใหญ่ในห้องเรียกว่าหมอ  สองขาที่ถูกกดทับทำให้ดิ้นหรือขยับไม่ได้ มือสองข้างยังมีแรง ที่จะเคลื่อนไหว แต่มีมืออีกหลายมือเข้ามาจับ  จนทำให้ขยับเขยื้อน อย่างยากลำบาก   สถานการณ์ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากการล้มวัว เพื่อเชือด เอาเนื้อมาทำอาหาร  เด็กอย่างเราไม่มีความรู้หรือเข้าใจอะไรในสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังทำอยู่...
ยาชาเข็มแรกฉีดเข้าไปที่องค์ชาติเล็กๆ ความเจ็บคล้ายมดกัด ทำให้เราสะดุ้ง บิดตัวไปมา แต่แพ้แรงต้านของผู้ใหญ่หลายคน น้ำตาเริ่มไหล เสียงร้องเริ่มเพิ่มความดัง เสียงปลอบโยนของผู้ใหญ่หลายคนเข้ามาผ่อนคลาความกลัวที่เกิดขึ้น  ไม่นานความเจ็บ ก็หาย  เมื่อยาชาออกฤทธิ์ทำให้องค์ชาติ เล็กๆของเราไม่ได้รับความรู้สึกอันใดแม้แต่เอานิ้วดีดไปแรงๆ  
คนประกาศยังเรียกชื่อเด็กอย่างต่อเนื่อง ให้เขาสู่ห้องรับรองนั้น ด้านนอกมีวงดนตรีพื้นถิ่น หรือที่ชาวมุสลิมเรียกว่าวงดนตรีนาเสป มีกลองรำมานา ไวโอลิน และเครื่องเขย่า ส่วนใหญ่จะเล่นเพลงทำนองมาเลย์ สนุกสนานกลบเสียงร้องของเด็กในห้องรับรองเพื่อไม่ให้เด็กที่อยู่ข้างนอกได้ยินและเกิดความกลัว
เด็กหลายคนเดินเข้าออกในห้องรับรองอย่างต่อเนื่อง เด็กบางคนมีน้ำตาซึม เด็กบางคนแสดงออกถึงความกล้าหาญเดินยิ้มออกมาจากห้องรับร้อง ส่วนเราตอนนี้อวัยวะเพศไม่มีความรู้สึกอะไร เวลาผ่านไปหลายนาที วงดนตรีนาเสป ยังคงเล่นเพลง เสียงคนประกาศเรียกยังทำหน้าที่ต่อ เสียงพูดคุย เสียงหยอกล้อกับเด็ก  เสียงปลอบโยน ทุกๆเสียงที่แสดงออกมา ทำให้พื้นที่บริเวณด้านนอกห้องรับรอง ดูวุ่นวาย และสับสน เรายังคงทำได้แค่รอฟังเสียงเรียกชื่อเพื่อที่จะเริ่มในขั้นต่อไป 
การทำคิตาล ตามชื่อเรียกในภาษาอาหรับที่แปลเป็นภาษาไทยว่าการเข้าพิธีตัดหนังหุ้มปลาย อวัยวะเพศชาย หรือเรียกอีกกย่างว่า สุนนะห์ (การทำตามแบบอย่างของนบีหรือผู้ประกาศศาสนาอิสลาม) ปัจจุบัน เรียกเพี้ยนมาเป็นพิธีเข้าสุนัต  ส่วนทางภาคใต้เรียกว่า มาโซ๊ยาวี ความหมายเหมือนกันคือ การตัดหนังหุมปลายอวัยวะเพศชาย   มุสลิมทั่วโลกมีมาตรฐานเดียวกัน  คือจำเป็นต้องตัดหนังหุ้มปลาย อวัยวะ เพศชาย เพื่อรักษาความสะอาดจากสิ่งที่หมักหมมในคอคอดขององค์ชาติผู้ชาย ครูมูฮำมัด ปรีชาศิลป์ อธิบาย จริงๆแล้วสิ่งที่ศาสนากำหนดเพียงแค่ตัดหนังหุ้มปลายเท่านั้น ไม่มีพีธีอะไร ตัดเสร็จก็เป็นอันเสร็จ จบขั้นตอนในการทำคิตาล
ประวัติในการขลิปหนังหุ้มปลายอวัยะเพศนั้นมาจากนบี(ผู้ประกาศศาสนาอิสลาม)คนแรกคือ นบีอดัม(ตามความเชื่อและหลักการศัทธาของมุสลิม)ได้กระทำเรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน นั้นคือมุมมองของอิสลาม
การตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย มันไม่ใช่ประเพณี แต่ทั้งหมดคือ หลักการที่ศาสนากำหนดเอาไว้ ผู้ประกาศศาสนาอิสลามคนสุดท้ายคือท่านนบี มูฮำมัด ได้บอกเอาไว้กับสาวกของท่านว่า สี่อย่างที่เป็นแนวทางของท่านในความเป็นธรรมชาติของมุนษย์  หนึ่ง การคีตาลหรือการขลิปหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย สองการใช้เครื่องหอม สามการแปรงฟันและสี่คือการแต่งงาน สีอย่านี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องการศัทธาในการยึดมั่นแต่เป็นธรรมชาติที่พระเจ้ากำหนดให้แก่มนุษย์ สี่อย่างนี้ในมุมมองของอิสลามบอกว่ามีแต่ประโยนช์ไม่มีโทษ ในหนังสือการอบรมเด็กในแนวทางอิสลาม ของดร.อับดุลเลาะนาเซียอุรวาน กล่าวเอาไว้ว่า การขลิปหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นจะทำให้ห่างไกลจากโรค การพรมของหอมจะทำให้ร่างกายแข็งแรง การแปรงฟังนั้นสุขภาพจะดี และการแต่งงานจะขยายเผ่าพันธุ์
ส่วนการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ในมุมมองของศาสนาอิสลามนักวิชาการได้แบ่งมุมมองในเรื่องคิตาลไว้สองมุมมอง คือหนึ่ง ถ้ามุสลิมคนใดไม่ทำจะเกิดโทษถ้าปฎิบัติจะได้ความดี สองสนับสนุนให้ทำทิ้งไม่เป็นไรถ้าทำแล้วได้ความดี ในมุมมองสองอย่างของนักวิชาการอิสลาม ในทัศนะที่น่าเชื่อถือที่สุดคือการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศนั้นเป็นสิ่งจำเป็นถ้าไม่ทำนั้นเกิดโทษ  มุสลิมคนไหนไม่ทำจะมีบาปติดตัวตลอดเวลา แต่การปฎิบัติศาสนกิจของเขาก็ใช้ได้ถ้าล้างอวัยวะเพศให้สะอาด  แต่อิสลามนั้นสอนให้เราป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นไม่ใช้มาแก้ไขที่หลัง นั้นคือคำสอนของอิสลามที่ให้ป้องกันไม่ใช่การแก้ไข ครูมูฮำหมัด ปรีชาศิลป์ กล่าวทิ้งท้ายในมุมมองของอิสลามสำหรับการตัดหนังหุ้มปลายหรือที่ชาวมุสลิมภาคกลางส่วนใหญ่เรียกว่าการตัตสุนัต
เสียงตนตรีนาเสปยังคงขับกล่อมบรรเลง เป็นภาษามาลายูที่คุ้นเคยแต่เราไม่เข้าใจในความหมาย และนัยยะของการแสดงดนตรีพื้นบ้านเหล่านี้  คงเหมือนกับเมื่อวานการแสดงต่างๆได้ถูกจัดขึ้นเพื่อเด็กอย่างพวกเราได้มีส่วนร่วมในพีธีเหล่านั้น 
เด็กอย่างเราได้เป็นคนสำคัญของงานที่จัดขึ้นท่ามกลางพ่อแม่ และคนในหมู่บ้านที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ถ้าย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวาน มันเป็นวันสำคัญในชีวิตพวกเราวันหนึ่ง
เวลานั้นเป็นเวลาบ่ายสามแสงแดดเริ่มที่จะคลายความร้อนลงบ้าง เด็กหลายคนได้ถูกจัดรวมในบ้านไม้สักหลังใหญ่อายุน่าเกินร้อยปี ในบ้านหลังนั้นเด็กที่มารวมตัวกัน ได้แต่งตัวในแบบฉบับคนมาลายู เสื้อแขนยาวไม่รัดรูปการเกงขายาวมีผ้าโสร่งพันทับกางเกงอีกชั้นหนึ่ง บนศรีษะมีหมวกกอเปีย แล้วพันทับด้วยผ้าสาราบันสีๆต่าง ข้างเอวมีมีดกริดพบเน็บไว้ บนลำตัวมีผ้าขาวม้าพันทับชายขวา และมีเครื่องประดับสวมใส่แล้วแต่ความต้องการ ส่วนโสร่งถูกคาดด้วยเข็มขัดทองหรือนาก เป็นความงามและบอกถึงวิถีการแต่งตัวในแบบคนมาลายู คนหลักร้อยคนที่มารวมกันที่บ้านหลังนั้นทำให้บรรยากาศดูคึกคักเป็นพิเศษ บอกเป็นนัยยะถึงการเริ่มประเพณีการแห่เด็กที่จะทำการตัดสุนัตกำลังจะเริ่มขึ้น
ประเพณีการแห่เด็กที่จะทำการเข้าสุนัต ในมุมมองของศาสนานั้นไม่มีแบบอย่างให้กระทำแต่มิติทางสังคมที่สามารถกระทำได้ คุณอานัน ทรงศิริ ประธานศูนย์วัฒนธรรมชุมชนมุสลิม-มลายูบ้านปากลัดอธิบายถึงประเพณีการเข้าพิธีสุนัตว่า เรามองในมิติทางสังคมวัฒนธรรมมากกว่า  และประเพณีเหล่านี้ได้ตกทอดมาจากเมื่อคราวที่รัฐปัตตานีแตกถูกสยามในสมัยนั้นเข้าตีและยึดครอง  บรรพบุรุษ ของเราได้ถูกต้อนเข้ามาที่เมืองบางกอก ประเพณีเหล่านี้ก็ได้สืบทอดต่อกันมา มันเป็นกุศโลบายที่คนในสมัยก่อนได้กระทำกัน จำลองภาพเหตุการณ์ในการออกรบ สเหมือนเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้เด็กที่พรุ่งนี้จะทำการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เมื่อก่อนนั้นไม่มียาชาเด็กจะเจ็บมาก กุศโลบายที่คนยุคก่อนได้ทำเอาไว้ ให้เด็กไม่เกิดความกลัว
การเริ่มพิธีการแห่เด็ก นั้นได้ให้เด็กแต่งตัวสวยงามแบบเจ้าเมือง เหมือนจะออกไปรบ มีการตั้งขบวน ในขบวนประกอบด้วย คนดีเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านเดินนำหน้า และก็มีคนถือธงสีต่างๆเดินตาม สีของธงนั้นมีนัยยะบอกถึงต้นสายตะกูลต่างๆ และตามมาด้วยคนถือไม้หอมที่เผาไฟทำให้เกิดกลิ่นหอม และมีอาหารคาวหวานต่างๆไว้เป็นสเบียงในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียวเหลืองไก่ย่างและผลไม้ต่างๆ ต่อมาก็เป็นเหล่าทหาร ที่ถือดาบ หรือคณะกระบี่กระบองในปัจจุบัน และตามมาด้วยเด็กที่จะทำการตัดสุนัตก็คือเจ้าเมืองนั้นเอง โดยขี่คอของชายที่แข็งแรง เปรียบเสมือนการขีพาหนะถ้าเป็นแถวภาคใต้ก็จะขี่ช้างจริงๆในการแห่ในขบวน ปิดท้ายขบวนโดยกลุ่มคณะนาเสป ที่สร้างเสียงเพลงทำให้ขบวนไม่รู้สึกว่าเงียบนั้นคือรูปแบบขบวนที่ทำการแห่เด็ก ระยะทางแล้วแต่ความสะดวกในแต่ละท้องที่
ขบวนทุกอย่างที่กล่าวมามันเป็นแบบจำลองในการออกศึกในสมัยก่อน เพื่อให้เด็กเกิดความฮึกเหิม คลายความกังวล ในการตัดสุนัตในวันพรุ่งนี้ มันเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้กระทำกันไว้ คนละมิติกับศาสนา  เราเห็นว่าดีก็ทำการสานต่อประเพณีการเข้าสุนัต คุณอานัน ทรงศิริ ประธานศูนย์วัฒนธรรมชุมชนมุสลิม-มลายูบ้านปากลัด ให้ข้อมูล
เสียงประกาศเรียกให้ชาวมุสลิมไปทำพิธีละหมาดจบลงได้ไม่นานขบวนแห่ที่เตรียมพร้อมก็เคลื่อนย้ายออกจากบ้านไม้สักเก่าหลังนั้น ไปตามถนน อากาศร้อนไม่มาก เราอยู่บนคอของผู้ใหญ่คนหนึ่งที่แข็งแรงขาทั้งสองข้างหนีบเข้ากับชายโครงของชายคนนั้น กลัวว่าเราจะตกจากคอที่เขาแบกอยู่ เสียงเพลงที่ดังไล่หลังมา แข่งกับเสียงของการรั่วชัดเตอร์ถ่ายภาพ ทำให้ขบวนแห่ดูมีชีวิต เป็นขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ ถนนขนาดที่รถสามารถวิ่งสวนกันได้ดูแคบไปถนัดตา ขบวนแห่เคลื่อนที่แบบไม่เร็วและไม่ช้าจนดูน่าเบื่อ มันเป็นขบวนที่สนุก สำหรับเด็กอย่างเรา ผู้ใหญ่หลายคนเดินอยู่ข้างๆขบวน วันนี้เป็นวันที่เด็กอย่างเราดูมีความหมายขึ้นมาอย่างมาก สายตาหลายๆคู่ถูกมองมาที่เด็กอย่างเรา มีรอยยิ้มเกิดขึ้นบนสายตาเหล่านั้น ทำให้เราลืมนึกถึงวันพรุ่งนี้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไปได้ชั่วขณะ ใช้เวลาไม่นานขบวนแห่ที่เคลือย้ายคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งก็ถึงจุดหมาย
เราถูกให้นั่งในแถวแรกของลานกว้าง ที่ถูกจัดเตรียมมันเป็นลานกว้างของโรงเรียนสอนศาสนา ลานกว้างแห่งนี้ถูกเติมจนเติมพื้นที่ จากจำนวนคนมากมาย เสียงเพลงเริ่มบรรเลงอีกครั้งหลังจากหยุดพักในการเดินแห่ หญิงชายหลายคู่ เดินออกมาอยู่ที่ลานกว้าง การแสดงเริ่มหลังจากเสียงพิธีกรจบลง มันเป็นการลำที่มีชื่อเรียกว่ารองแง็ง ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเคยเล่าให้ฟังว่าการแสดงรองแง็ง มีมาในสมัยโบราณ เป็นที่นิยมในบ้านขุนนางหรือเจ้าเมืองรัฐปัตตานี ในการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือน จบจากการรำรองแง็ง ก็เป็นการตีกระบี่กระบอง
การตีกระบี่กระบองนั้นเป็นการต่อสู่ที่ดูสนุกและน่าตื่นเต้นสำหรับเด็กอย่างเรา  ปิดท้ายของการแสดงเป็นการรำกริด ก่อนเริ่มผู้ที่รำจะเข้ามาจับมือกับเด็กๆที่รวมพิธีทั้งหมดถือเป็นการให้พรของผู้ใหญ่  รำกริดเป็นการต่อสู่ด้วยการใช้มีดกริดเป็นอาวุธ เป็นภาพที่ดูขึงขังและจริงจังมาก เป็นการต่อสู้และร่ายรำที่สวยงามและแปลกตา นั้นคือภาพความทรงจำของเมื่อวาน แต่วันนี้เราไม่ต้องใสเสื้อผ้าที่สวยงามแบบเมื่อวาน ไม่มีพีธีอะไรมากมาย มีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวที่ปิดท่อนร่างของร่างกายและองค์ชาติเล็กๆของเราตอนนี้ก็ไม่ได้รับความรู้สึกอะไรเพราะฤทธิ์ของยาชาจากการฉีดเมื่อหลายนาทีก่อน
          เวลาผ่านไปนานหลายนาทีหลังจากการฉีดยาชากับองค์ชาติ ความทรงจำในเหตุการณ์เมื่อวานได้หยุดลงเมื่อเสียงเรียกชื่อเราดังขึ้น เพื่อจะเข้าสู่ห้องรับรองอีกครั้ง  เราเดินตามเสียงเรียกนั้นอย่างว่าง่าย ให้เข้ามาในห้องสี่เหลียมรับรองของมัสยิดอีกครั้ง ข้าวของเครื่องใช้ยังถูกจัดเอาไว้เหมือนเดิม แล้วเสียงหมอคนเดิมก็เปล่งเสียงที่นิ่มนวลบอกว่าขอดูองค์ชาติอันน้อยๆของเรา ขาทั้งสองข้างถูกกดทับและมือก็ถูกกดจับเอาไว้ เหมือนคราวแรกที่เข้ามา ตอนนี้เรารู้สึกว่าจะขยับขเยื้อนไม่ได้เลย ความกลัวเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจอีกครั้ง
 หมอจับที่อวัยวะเพศเรา ย่นหนังที่หุ้มปลายเขามาแล้วเอาสำลีเช็ดสิ่งสกปรกตรงบริเวณหัวขององค์ชาติ หมอใช้ไม้ใส่เข้าไปตรงหนังแล้วดึงหนังออกมา มีทีหนีบเหล็กแบบทองเหลือ เขามาหนีบไว้ตรงบริเวณหัวขององค์ชาติ เพื่อไม่ให้หนังย่นกลับเข้าที่เดิม แล้วหมอก็ใช้มีดตัดตรงแท่งเหล็ก
ทันทีที่หนังส่วนปลายหลุดขาด หนังจะย่นเลยมาที่ตรงคอคอดของอวัยวะเพศ เลือดสีแดงสดไหลออกมามาเล็กน้อย ผ้าพันแผลถูกพันทับสองชั้นบริเวณต่ำจากคอคอดไปเล็กน้อย เวลาที่ใช้ในการตัดไม่ถึงห้านาทีขั้นตอนนี้เราแทบไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะยาชากำลังออกฤทธิ์
หมอเปร่งเสียงอีกครั้งบอกว่าเสร็จ ในการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ หลายคนดูโล่งอก รวมถึงตัวเราที่ผ่านการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ เสร็จเสียงที่เป็นคำพูดที่กังวานอยู่ในใจ ความกังวลต่างๆหายไปเมื่อได้เดินออกมาจากห้องรับรองแห่งนั้น เสมือนเราเป็นหนึ่งในผู้ชนะสงครามแห่งความกลัวภายใต้จิตใจ ความดีใจจนทำให้รู้สึกเบิกบานโดยมีเครื่องหมายเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก และความสุขที่ได้ผ่านเรื่องราวที่ทำให้มีความคิดกังวลหมดไป ความจริงแล้ว ชีวิตในวันข้างหน้าอาจกำลังเปิดประตูต้อนรับเราอยู่ ทั้งด้านดีและด้านร้าย ชีวิตเป็นบทเรียนเสมอ ความเจ็บปวดคงเป็นเครื่องหมายวัดความแข็งแกร่งที่ดีในจิตใจเรา
 คิตาลสงครามแห่งความหวาดกลัวได้จบลงมันเป็นสงครามแรกที่เราต้องเผชิญความเจ็บจากบาดแผลรอเวลาแห่งการเยียวยารักษา มันเป็นสัญญาลักษณ์แห่งความสะอาดที่ติดตัวเราไปจนหมดลมหายใจ และเป็นเครื่องหมายที่บอกว่าเราผ่านมาแล้วกับช่วงเวลาเหล่านี้
 ผู้ประกาศยังคงทำหน้าที่เรียกเด็กรายต่อไปมาทำการตัด แสงแดดของวันยังคงทำหน้าที่อย่างร้อนแรง ความวุ่นวายยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หน้าที่และบทบาทของชีวิตยังคงดำเนินต่อไป จากคำกล่าวของท่านศาสตร์ดาว่า  แท้จริงแล้วมนุษย์มีก้อนเนื้ออยู่ก้อนหนึ่งเมื่อเนื้อก้อนนั้นดีทุกส่วนของร่างกายก็ดีไปด้วย เมื่อเนื้อก้อนนั้นเสียทุกส่วนของร่างกายก็เสียไปด้วยพึงทราบเถิดก้อนเนื้อก้อนนั้นคือหัวใจ สิ่งนี้กระมั่งที่ทำให้คนเราสะอาดอย่างแท้จริง..... 

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธนาคารอิสลามเป็นแบรนด์เพื่ออิสลามจริงๆหรือ


ธนาคารอิสลามเป็นแบรนด์เพื่ออิสลามจริงๆหรือ
องค์ประกอบหลักของสัญลักษณ์ของธนาคารอิสลามฯ ประกอบด้วย “อะลีฟ” อักษรภาษาอาหรับตัวแรกในการสะกดคำว่า “อิสลาม”
หรือมองในอีกนัยหนึ่งคือ อักษร “ไอ” ในคำภาษาอังกฤษว่า “Islamic” ซึ่ง ตวัดเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว และดาวสีเหลืองทอง
อยู่บนพื้นสีเขียว
 ให้ความหมายถึงความเป็นผู้นำที่ก้าวหน้ายั่งยืน และด้วยสีเหลืองทอง สื่อถึงพลังแห่งความสว่างไสว เคียงคู่กับดวงดาวเสมือนการเกื้อกูล โอบอุ้มซึ่งกันและกัน พร้อมรวมใจสามัคคี เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความมั่นคงและความสำเร็จตลอดกาล
สีเหลืองทอง หมายถึง พลังแห่งแสงสว่างของศาสนาอิสลามที่ให้ความสว่างไสวแก่ผู้คนทุกชาติศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน
สีเขียว หมายถึง ความเจริญงอกงามอย่างมั่นคง รุ่งโรจน์ สดใส



ความจริงบทความนี้ผมตั้งใจจะเขียนมานานหลายเดือนแล้วแต่ก็ติดในเรื่องของเวลาในการที่จะเขียนถึง ผมออกตัวนิดนึงว่าจะเขียนในมิติของผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าธนาคาร  สื่อมุสลิมในหลายฉบับกลับมองข้ามประเด็นเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ และสื่อมุสลิมเองกลับไม่ได้นำเสนอ หรือมองข้ามประเด็นเหล่านี้ หรืออาจเกิดจากความกลัวว่าเมื่อเขียนถึงแล้ว ธนาคารอิสลามอาจจะไม่ลงโฆษณากับเล่มเรา หรืออะไรก็แล้วแต่ ผมอยากเขียน สะท้อนไปยังผู้บริหารธนาคารที่มีชื่อแบรนด์ต่อท้ายว่าอิสลาม ว่าแท้จริงแล้วผู้บริหารธนาคารอิสลาม มีวิธีคิดอย่างไรในการบริหาร ที่มีชื่อต่อท้ายว่าอิสลาม
เมื่อจะทำธุรกิจกับกลุ่มคนมุสลิม แล้วเอาอิสลามเข้าไปต่อท้ายของธุรกิจ สิ่งที่จำเป็นต้องมีมันมีอะไรบ้าง มันเป็นสำนึกแรกที่ต้องถาม ในการทำธุรกิจ ผมยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นร้านอาหารอิสลาม แน่นอนต้องเป็น อาหารต้องฮาล้าลมุสลิมกินได้ มีที่จอดรถ มีห้องละหมาดไว้รองรับกลุ่มคนมุสลิมที่มีความต้องการจะละหมาดเมื่อได้เวลาหรือยังอยู่ในเวลา
แต่แบรนด์ ธนาคารอิสลามกลับไม่มีห้องละหมาดน่าคิดไหม ห้างหลายๆแห่งเขาก็มีห้องละหมาดไว้รับรองกับกลุ่มคนมุสลิม และหลายๆที่ก็มีห้องละหมาดไว้บริการ แต่ที่ธนาคารอิสลามกลับไม่มีห้องละหมาด  มันเป็นคำถามทีทำให้ผมรู้สึกผิดหวังกลับวิธีคิดของผู้บริหารธนาคาร
พนักงานสำนักงานใหญ่ ธนาคารอิสลาม ท่านหนึ่งอาจแย้งว่ามีห้องละหมาดนะ อืมผมก็ไม่เถียงแต่อยู่โน่น ชั้น 22 ถ้าผมจำไม่ผิดและก็ให้เฉพาะพนักงานละหมาด ลูกค้าที่มาใช้บริการชั้นล่างหมดสิทธ์ ที่จะละหมาด ฝากเงินเสร็จ ก็ไปละหมาดที่อื่นที่นีไม่มีนโยบายให้ลูกค้ามาละหมาด  วันก่อนบริษัทผมไปจัดงานที่ห้างเซ็นทรัลพระรามเก้า  ใจนึงก็คิดว่าจะไปละหมาดที่ไหนดี ไกล้ที่สุดน่าจะเป็นมัสยิดห้วยขวางที่อยู่หลังห้างจัสโก้  แต่ลองถามยามดูดีกว่าเพื่อที่นี้น่าจะมีห้องละหมาด จะได้ไม่ต้องไปไกล ยามบอกว่าที่ธนาคารอิสลามมีห้องละหมาดผมรู้สึกดีกับธนาคารขึ้นมาเลยเพราะก่อนหน้านั้นหลายเดือนก่อนผมกำลังมองหาที่ละหมาด ก็คิดว่ายังงัยธนาคารอิสลามสำนักงานใหญ่น่าจะมีพื้นที่ไว้บริการ เวลาละหมาดของผมก็ใกล้จะหมด ได้คำตอบจากพนักงาน ที่แต่ชุดฟอร์มธนาคาร แล้วแถบจะหมดแรง มีแต่ไม่ให้บุคคลภายนอกใช้คะ...
จากอโศกต้องไปละหมาดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ แต่วันนี้คำตอบที่ได้ยินกับยามของห้างทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง อืมธนาคารนั้นให้ความความสำคัญกับลูกค้ามุสลิมแล้ว โว้ย... ไว้รอจังหวะที่ว่างสักแป็บแล้วจะเดินขึ้นไปละหมาด ที่ธนาคาร ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะใกล้หกโมงเย็น เลยตัดสินใจเดินไปที่ธนาคาร เพื่อจะละหมาด  ไปถึงมีคนคอยเปิดประตูต้อนรับ ดีจัง ซ้ายมือเฉียงไปที่สิบเอ็ดนาฬิกาน่าจะเป็นห้องผู้จัดการสาขาห้องกระจกสี่เหลียม ที่ใหญ่ไม่มากแต่ก็นับว่าเป็นห้องทำงานที่ใหญ่พอสมควรห้องหนึ่ง
ตรงหน้าเป็นเคาน์เตอร์มีพนักงานชายหญิงนั่ง คอยทำหน้าที่ผมรีบเดินไปถามว่าห้องละหมาดอยู่ไหนครับ พนักงานชายหญิงคู่นั้นมองหน้ากันเหมือกำลังพูดด้วยภาษาดวงตาก่อนที่ผู้ชายจะบอกกับผมว่าที่นี้ไม่มีห้องละหมาด !@#$%^%$&*ผมรู้สึกหน้าชาเหมือนโดนตบแรงๆ ทำอะไรไม่ถูก มองจ้องไปที่ห้องผู้จัดการอีกครั้ง อยากจะตะโกนบอกว่า แบ่งห้องออกมานิดไว้ทำเป็นห้องละหมาดไม่ได้หรอแต่ก็พูดไม่ออก  เดินออกมาเหมือนคนผิดหวังจากคนรักที่ไม่ให้เข้าบ้าน นั้นเป็นความรู้สึกที่ผมได้รับจากธนาคารอิสลาม
ผมลองไล่ชื่อผู้บริหารดูไม่รู้ว่ามีมุสลิมกี่ท่าน หรือใครที่มีหน้าทีโดยตรงก็ขอฝากกับท่านด้วยว่าเปิดให้มีพื้นที่ได้ทำการละหมาดตามสาขาย่อยต่างๆเถอะอันไหนไม่ได้จริงๆก็ไม่เป็นไร หรือว่าท่านไม่ให้ความสำคัญกลับลูกค้าที่เป็นมุสลิมก็บอกไปเลยดังๆ เอาว์ไอ้พวกโง่ทั้งหลาย มาทำธุรกรรมกับธนาคารให้เสร็จไวไวธนาคารจะได้มีกำไรเยอะๆแล้วมึงจะไปละหมาดที่ไหนก็ตามใจ บอกไปเลยครับหรือติดป้ายก็ได้ว่าที่นี้ไม่มีที่ละหมาดจะได้รู้และทำใจเอาไว้....
การบริหารงานดี กลับการบริหารงานเป็นมันคนระอย่าง การบริหารงานเป็นกลับมีอิสลามในการบริหารมันก็คนละอย่าง  มันอยู่ที่คุณเลือกว่าจะเอาอิสลามมาเป็นส่วนหนึ่งในการบริหารหรือเอากำไรอย่างเดียวในการบริหารคำตอบอยู่ที่คุณธนาคารอิสลาม

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กรุงเทพฯพูดความรัก......


คอลัมน์คุยกับกรุงเทพฯ
โดย อดัมชินจัง
                            

                        กรุงเทพฯพูดความรัก......


เดือนกุมภาพันธ์ ของกรุงเทพฯ มันเป็นเดือนที่อบอวนไปด้วยความรัก  หนุ่มสาวหลายคู่ รู้สึกอย่างนั้น.... นักการตลาด ใช้กระแสความรักในการขายสินค้า ...  นักเขียนเขียนหนังสือเกี่ยวกับความรัก...   ร้านเหล้า ผับบาร์ ล้วนมีโปรโมชั่น ด้านความรัก.... ตลาดดอกไม้ดูคึกคักเป็นพิเศษเพราะคนมอบดอกไม้แทนความรัก.... เชฟบางคนคิดเมนูอาหารให้อิงกับความรัก.... คนกวาดถนนไม่มีบทบาทในวันแห่งความรัก... ถนนบางสายในกรุงเทพฯน่าจะเป็นถนนแห่งความรักได้ ช่างภาพเวดดิ้งบางคนคิด
กรุงเทพฯเดือนกุมภาพันธ์ เป็นสีชมพู เดือนนี้กรุงเทพฯพูดเรื่องความรักและหลายคนกำลังฟัง
นักเขียนบางคนเอียน...กับความรักเพราะมันหมายถึงความรับผิดชอบต่อผลผลิตในเรื่องความรัก และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนมาเป็นการสร้างครอบครัว มันคือภาระที่อยู่บนบ่าทั้งสองข้างและหนัก นั่นคือผลของความรัก นักเขียนบางคนพูดในลำคอและยักไหล่  หนุ่มสาวมองความรักเป็นเรื่องของการสัมผัสทางร่างกาย  การโอบ กอด จูบ และการมีเซ็กส์ที่เร่าร้อนรุนแรงในแบบฉบับของคนหนุ่มสาวมันคือปัญหาที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เห็นและพยายามแก้ไขแต่ปัญหาของผู้ใหญ่คือคิดได้แค่ปีละวัน ในกลางเดือนกุมภาพันธ์....
นักเขียนอย่างนิ้วกลมเขียนหนังสือ กลุ่มคำของความรัก ผมเห็นภาพความรักมากกว่าตัวหนังสือในงานเขียนของนิ้วกลม  คนไม่โรแมนติกคือคนโรแมนติกที่ไม่กล้าแสดงออก นิ้วกลมบอก ผมเชื่อและหลายคนในกรุงเทพฯไม่ได้แสดงออกในเรื่องของความรัก แต่เป็นคนโรแมนติก  พ่อค้าในตลาดสดตะโกนสั่งเมียเป็นภาษาตลาด บอกลูกด้วยว่าวันนี้กลับบ้านไวหน่อยพ่ออยากกินข้าวร่วมกันเป็นครอบครัวไม่ได้กินข้าวร่วมกันมานานแล้วและอีกหลายประโยคที่ไม่เกี่ยวกับความรักแต่รู้สึกได้ว่ามี...ความรัก พ่อค้าคนนั้นโรแมนติกในความหมายของนิ้วกลมและของผม
กรุงเทพฯคิดเรื่องความรักกลางเดือนกุมภาพันธ์มันเป็นความคิดของโลกตะวันตก และครั้งหนึ่งความคิดนี้ก็เดินทางมาสู่กรุงเทพฯให้คนกรุงเทพฯได้คิดและรู้สึกว่ามันเป็นวันแห่งความรัก กรุงเทพฯคิดตามและพอใจกับกระแสแห่งความรัก โรงแรมม่านรูดหลายแห่งขอบใจกับกระแสนี้และมีของกำนัลเป็นกล้องวงจรปิด เป็นของแถมให้กับคู่รักที่ใช้บริการ เพื่อให้คนทั่วโลกได้ดูหนังสดของคนกรุง และอีกหลายๆกระแสที่กรุงเทพฯกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ในการสร้าง แต่บนความจริงรากเหง้าของคนกรุงกำลังมีความสำคัญน้อยกว่ากระแสหลักเหล่านั้น กรุงเทพฯเศร้าบนความร่าเริงในเดือนกุมภาพันธ์...
          กรุงเทพฯ...พูดอีกหลายร้อยประโยคและหลายคนพยายามฟัง แต่ไม่เข้าใจความหมาย บางคนตีความหมายผิด บางคนสร้างความหมายขึ้นมาใหม่ในแบบที่ตัวเองต้องการ หลายๆความหมายที่กรุงเทพฯ พูดดูน่าสนใจ ทำให้กรุงเทพฯ มีเรื่องราวมากมาย ถ้าวันหนึ่งกรุงเทพฯ หยุดพูดเรื่องราวต่างๆ วันนั้นความเงียบของกรุงเทพฯ จะทำให้เราเหงาก็เป็นได้  

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


ช้างถูกทำร้าย สัญลักษณ์ของชาติกำลังโดนรังแก
 สำนึกรักช้างไทย…..



โดย ชินจัง






                  เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ข่าวการลักลอบฆ่าเผ่าช้างป่าเพื่อตัดเอางาดูจะเป็นข่าวที่สะเทือนขวัญของคนไทยรับปี2555ข่าวหนึ่ง เพราะช้างนั้นเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน   ช้างเคยเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ร่วมทำสงครามสร้างชาติมากับบรรพบุรุษของเรา นับวันความเลวร้ายที่เกิดกับช้างไทยจะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะกลุ่มคนที่มีความต้องการงาช้างดูจะมีความต้องการอยู่เสมอ และนอกจากเรื่องการลักลอบฆ่าช้างเพื่อตัดเอางาไปขายแล้วยังมีเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างช้างกับชาวบ้านที่ส่อเค้าความรุนแรง  ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอันเนื่องมาจากการเผชิญหน้ากับ ช้างป่าเหล่านั้น ดูจะเป็นเรื่องที่ดังเข้าหูอยู่บ่อยครั้ง
ช้างบาดเจ็บ ช้างเร่รอน  ช้างถูฆ่า  ดูแล้วเป็นข่าวที่สะเทือนขวัญและเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข้ ช้างป่าเอเชีย ถูกจัดว่าเป็นสัตว์ป่าที่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ ในระดับโลก แม้จะยังคงมีรายงานการแพร่กระจายอยู่เป็นหย่อมๆในหลายพื้นที่ทั่วทั้งแนวเขตแนวตะเข็บชายแดนไทย  ทว่าประชากรของช้างป่าเอเชียก็ถูกคุกคามอย่างหนัก การลดลงของพื้นที่อยู่อาศัย การล่าและปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง กลายเป็นปัญหาสำคัญต่อวงการอนุรักษ์ในปัจจุบัน เนื่องจากจำนวนประชากรมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้การพัฒนาและ ความต้องการใช้ที่ดินขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของช้างมีขนาดเล็กลงและถูกแบ่งแยกออกเป็นหย่อมๆ ภาวะดังกล่าวทำให้คนกับช้างป่ามีโอกาสเผชิญหน้ากันมากขึ้นและปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น มีรายงานปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นในทุกประเทศตลอดแนวการ แพร่กระจายของช้างป่า ตั้งแต่ อินเดีย เนปาล ภูฎาน จีน บังคลาเทศ ศรีลังกา พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเชีย อินโดนีเซีย และประเทศไทย ซึ่งในหลายประเทศปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นปัญหาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งใน เรื่องของการจัดการสัตว์ป่าและพื้นที่อนุรักษ์
ในประเทศไทย กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช รายงานว่ามีปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างเกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์อย่างน้อย ๒๐ แห่ง อาทิอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติกุยบุรี เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเอาอ่างฤาไน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เป็นต้น และมีแนวโน้มว่า จะขยายตัวและมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต การหามาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างจึงเป็นความท้าทายที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อการอนุรักษ์และการจัดการช้างป่าในปัจจุบัน
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างไม่ใช่เรื่องใหม่ และการที่ช้างออกมากินพืชเกษตรนั้นได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางมาเป็นเวลานานแล้วทั้งในทวีปเอเชียและแอฟริกา ถึงขนาดที่นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า ปัญหานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของยุคที่มนุษย์เริ่มทำเกษตรกรรม เสียด้วยซ้ำ
 นายวรวิทย์ โรจนไพฑูรย์  ผู้อำนวยการสถาบันคชบาลแห่งชาติ ในพระอุปถัมภ์ฯเปิดเผยว่า สถานะการณช้างในตอนนี้ ปัจจุบันช้างเลี้ยงที่เสียชีวิตก็เกิดจากโรคภัยไข้เจ็บและการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเกิดว่าเรานำช้างเลี้ยงมาเดินเร่ร่อนจะทำให้เกิดอุบัติเหตุและอาจจะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ซึ่งจะเป็นข่าวมาโดยตลอด   จำนวนประชากรช้างเลี้ยงและช้างป่าอดีตเรามีหลายหมื่นเชือก แต่ในปัจจุบันเรา มีอยู่ประมาณ5000 กว่าเชือก ช้างเลี้ยงมี ประมาณ3000เศษ และช้างป่าประมาณ2000 กว่าเชือก เนื่องจากเรามีการรณรงค์ในการอนุรักษ์ช้างขึ้น สถานการณ์ ก็ดีขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ดีมากจนเป็นที่หน้าพอใจเนื่องจากว่ามันมีอัตราการตายของช้างยังมากอยู่และช้างป่าจะต้องอพยพตามแนวตะเข็บชายแดนไทยพม่า เฉพาะฉะนั้นช้างป่าที่ทางกรมอุทยานสำรวจมันก็มีประมาณ2000กว่าเชือก และจากการที่มนุษย์เข้าไปฆ่าและลักลอบเอาช้างป่าสวมเป็นช้างเลี้ยงมันน่าที่จะทำให้ช้างป่ามีจำนวนลดลงซึ่งก็น่าเป็นห่วง
ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับช้างของเรามีหลายฉบับ มีกระทรวงมหาดไทยกรมการปกครอง ที่จะคอยดูแลเรื่องของ พ.ร.บ. สาธารณะ 2482  ดูแลในเรื่องของการจดตัวรูปพรรณและก็มีของกรมปศุสัตว์นั้นก็คือ พ.ร.บ. โลกระบาดสัตว์ ซึ่งจะดูแลเรื่องของการนำช้างเข้ามาในเมือง มันมีโรคระบาดหรือเปล่ามีการเคลื่อนย้ายที่ถูกต้องไหม เพราะการเคลื่อนย้ายช้างเข้าสู่ตัวเมืองต้องมีการแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์และก็จะมีกฎหมายของทางตำรวจในเรื่องของกฎหมายจราจรและก็กฎหมายของเทศกิจเอง ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดต่างๆซึ่งมีเทศบาลเทศกิจอยู่ กฎหมายต่างๆเหล่านี้มันมีบทลงโทษที่ต่ำ ทางกรุงเทพมหานครก็ออกกฎหมายใหม่มา เพื่อห้ามนำช้างเข้ากรุงเทพฯ ได้ปรับปรุงบทลงโทษให้สูงขึ้นมีการจำคุกมากขึ้นแต่ก็ทำได้ที่กรุงเทพฯ  แต่ทางจังหวัดอื่นก็ไม่ได้มีการปรับแก้ทางกฎหมายทางเทศบัญญัติ ช้างก็จะเดินเร่รอนในกรุงเทพน้อยลงแต่ว่าจะไปทางตามจังหวัดต่างๆมากขึ้น
อนาคตของช้างมันก็อยู่ที่พวกเรา คนไทยทุกคนต้องช่วยกันและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเองก็ได้เห็นถึงปัญหาเรื่องช้างเราเองก็หาแหล่งงานให้ควาญช้าง แต่ว่าการดำเนินการก็ต้องทำควบคู่กับการปรับแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับช้างด้วย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับช้างปัจจุบันมันมีหลายฉบับ ตามความเห็นของผม มันควรจะรวบรวมมาเป็นฉบับเดียวเป็นพ.ร.บ.สัตว์ สัญลักษณ์ ของชาติก็ได้ ก็คือคลุมหมดเลยมีบทลงโทษให้หนักขึ้นและมีกองทุนต่างๆเพื่อที่จะช่วยเหลือช้างได้ สุดท้ายยากจะเชิญชวนคนไทยทุกคนช่วยกันอนุรักษ์ช้างให้อยู่คู่คนไทยตลอดไปนายวรวิทย์ โรจนไพฑูรย์ กล่าวทิ้งท้าย
ประเทศไทย นับได้ว่าโชคดีที่ช้างเป็นสัตว์ป่าที่มีคุณค่าสูงยิ่งในเชิงวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ทำ ให้คนทั่วไปมีความรู้สึกในเชิงบวกต่อช้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่ช้างเข้ามากินหรือทำลายพืชผลทาง การเกษตร จากปัญหาความรุนแรงของความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า ในแง่ของนักอนุรักษ์หรือผู้จัดการพื้นที่อนุรักษ์ แล้วจะเห็นได้ว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการหามาตรการที่ทำให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถอยู่ร่วมกับช้างได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือทำอย่างไรให้ เกษตรกรสามารถอยู่ร่วมกับช้างได้อย่างยั่งยืน บทสรุปหนึ่งที่ได้จากการศึกษาปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่าคือ ตราบใดที่คนและช้างป่ายังอาศัยและหากินอยู่ในพื้นที่ที่สามารถใช้ได้ ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทุกๆวิธีการที่ดำเนินการจะเป็นเพียงแนวทางในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะ มันกลายเป็นเรื่องของลิ้นกับฟัน ที่ต้องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา ประเด็นเดียวที่เรา ต้องคำนึงถึงต่อการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหล่านี้กันต่อไปในอนาคต หากไม่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ นั่นคือ เราต้อง เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ซึ่งนั่นก็เป็นคำตอบที่ดีว่า

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555


คอลัมน์คุยกับกรุงเทพฯ
โดย อดัมชินจัง
                                                 


                                         กรุงเทพฯของใคร......



           เราเห็นความงามไม่เท่ากัน คนเราต่างกันที่ความคิดและความรู้สึก..... ผมเปิดประโยคสนทนากับเพื่อนหนุ่ม มันเป็นประโยคสนทนาสั้นๆระหว่างเพื่อนกับเพื่อน เพื่อนผู้พิสมัยความงามแบบฉาบฉวยจับต้องสัมผัสได้เพียงภายนอกที่ได้พบเห็น และชอบตัดสินสิ่งที่เห็น ว่าดีหรือเลว  ชอบหรือรังเกียจ สวยงามหรือสกปรก  มันเป็นประโยคสนทนาเริ่มต้นและเป็นประโยคจบในคราวเดียวกัน ความเงียบเข้ามากั้นระหว่างเรา ความคิดกำลังทำงานในการรับรู้ผ่านสายตาที่บอกถึงความงามของเราไม่เท่ากัน ในการมองสังคมและการตัดสินตามความคิดเพียงฝ่ายเดียว และแคบ
พ.ศ.2555...  กรุงเทพฯของคนเก็บขยะ...เป็นการทำงานบนซากข้าวแกงเน่าบูด คราบเสลด ขี้บุหรี่  และสิ่งของไร้ค่าของคนเมือง มันสร้างอาชีพได้ เสียงของคนเก็บขยะบอกกับตัวเอง ทุกที่ล้วนมีขยะผมเห็นขุมทรัพย์จากกองขยะ ถ้าโชคดี วันนี้คงได้ตุ๊กตาแขนหักไปฝากไอ้หนูแดง...  กรุงเทพฯของคนขับรถแท็กซี่เป็นการทำงานบนสายตาที่ว่องไวเหมือนเหยี่ยวหลังพวงมาลัยในการรับผู้โดยสายและขาที่คอยเยียบหรือถอนคันเร่ง เป็นเรื่องปกติถ้าผมจะหักพวงมาลัยรับผู้โดยสารโดยลืมมองรถที่ตามมา ประการต่อมาล้อรถต้องเล็กเพื่อรอบมิเตอร์จะได้เพิ่มเร็วขึ้น มันเป็นการทำงานแข่งกับเวลา เวลากะของผมมันหมายถึงเงินค่าเช่ารถ  ค่าข้าว ค่าบุหรี่ และลูกเมียที่คอยสวดมนต์ว่าวันนี้พ่อคงโชคดีไม่โดนโจนปล้นเวลาและชีวิต...กรุงเทพฯของคนขายน้ำอ้อยเป็นการตัดพ้อต่อโชคชะตาที่ต้องมาเจอกับเทศกิจในเวลางาน   มันไม่ให้ผมขาย มันจับและปรับ แล้วผมจะอยู่อย่างไร สักวันถ้าผมเหลืออด ผมจะตีมันด้วยขวดใส่น้ำอ้อยให้หายแค้นเป็นความคิดของคนขายน้ำอ้อย.... กรุงเทพฯของตำรวจจราจรเป็นการตั้งด่านกวดขันวินัยของผู้ขับรถมันหมายถึงเงินค่าปรับแต่ผมลืมบอกว่าวินัยมันสร้างที่โรงเรียนและฝังจบอยู่ในนั้น พ.ศ.นี้หลายคนลืมว่าเคยมีวินัย...กรุงเทพฯของนักหนังสือพิมพ์เป็นการเขียนข่าว PR องค์กรหรือตัวบุคคล ให้ดูแนบเนียนมากกว่าอุดมการณ์ของนักหนังสือพิมพ์...ก็มันทำให้หนังสือของผมอยู่รอดนี่หว่าเสียงจากบรรณาธิการหลังแป้นพิมพ์ขณะจิบไวน์คาราแพงที่เป็นของกำนัลบริษัทPR...และหลายๆตัวละครของกรุงเทพฯที่น่าทำความรู้จักในพ.ศ.นี้หรือ พ.ศ. ไหน มันเป็นตัวละครที่น่ารักและผมจะบันทึกตัวละครเหล่านั้นผ่านหน้ากระดาษแห่งนี้ไม่ให้มันดูว่างเปล่าเพื่อส่งผ่านไปยังผู้อ่านในการทำความรู้จักกับกรุงเทพเมืองหลวงของประเทศไทย
กรุงเทพฯ พ.ศ.นี้ของผมต่างจาก พ.ศ.ของคุณรงค์ วงษ์สวรรค์ ผู้เป็นครูสอนชั้นเชิงในการมองชีวิตคนกรุงผ่านงานเขียน  กรุงเทพฯรจนา  แต่กรุงเทพฯก็ยังเย้ายวนให้ผมหลงใหลในบางห้วงเวลา.... จอดให้ผมลงหน่อยกรุงเทพฯผมจะลงไปคุยกับคุณ....






สมองเสื่อมภัย
ที่มากับสังคมสูงวัย........

เรื่อง อดัม ชินจัง










ถ้าวันหนึ่งคุณหรือคนรอบข้างที่คุณรัก ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการสูญเสียความทรงจำอย่างเฉียบพลัน  ความนึกคิดเปลี่ยนไป ความสามารถเปลี่ยนไป บุคลิกเปลี่ยนไป ทุกอย่างที่เป็นตัวของเราเปลี่ยนแปลงไป บางสิ่งบางอย่างที่เคยทำได้ดีที่สุด เปลี่ยนเป็นการทำไม่ได้เลย ความไร้สามารถเข้ามาแทนที่ความเก่งที่เราเคยมี
กว่า90%ที่คนรอบข้างของผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมไม่รู้ว่าคนๆนั้นกำลังป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม ทำให้เกิดปัญหาความวุ่นวายขึ้นในครอบครัว โรคสมองเสื่อมกำลังเป็นภัยมืดที่เข้ามาสูสังคมที่มีคนสูงวัย อย่างเงียบๆตัวเลขการเติบโตของโรคมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และที่น่าเป็นห่วงคือตัวเลขคนที่เป็นโรคสมองเสื่อม เริ่มมีช่วงอายุที่น้อยลงเรื่อยๆ....
ภาวะสมองเสื่อม(dementia) เป็น ความผิดปกติของสมองที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยมีโรคหลายชนิด ที่เป็นสาเหตุของกลุ่ม อาการนี้ โรคที่พบบ่อยได้แก่ โรคอัลไซเมอร์ และโรคสมองเสื่อมเหตุหลอดเลือด เนื่องจากสัดส่วนประชากรสูงอายุที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ภาวะนี้จึงมีความสำคัญมากขึ้นเพราะก่อให้เกิดความเสียหายต่อครอบครัว สังคม และเศรษฐกิจของชาติดังนั้นความรู้ความเข้าใจในการป้องกัน และรักษาโรคนี้จึงมีความสำคัญ อย่างยิ่ง 
          โรคอัลไซเมอร์ เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของกลุ่มอาการสมองเสื่อม โรคนี้เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมอง โดยเชื่อว่า น่าจะเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมร่วม กับปัจจัยสิ่งแวดล้อม  โรคนี้เพิ่ม ขึ้น เรื่อย ๆ ตามอายุของผู้ป่วยโดยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 5ปีของอายุที่เพิ่มขึ้นจาก  60ปี ในประเทศไทยเองมีการศึกษาถึง ความชุกของภาวะสมองเสื่อมในชุมชนโดยพบประมาณ9.88 รายต่อประชากร100คนที่มีอายุมากกว่า 60  ปี
 ผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมมักมีอาการหลักอยู่ 2 กลุ่ม คือปัญหาด้านความจำและปัญหาด้านพฤติกรรมหรืออารมณ์
ผู้ป่วยในระยะแรกอาจไม่สังเกตว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น  ผู้ป่วยมักมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองเริ่มมีปัญหาด้านความจำจนกระทั่งเกิด อาการเฉียบพลัน ให้เห็นว่ามีความผิด ปกติ รุนแรงขึ้น เช่น หลงทาง เกิดอุบัติเหตุ ญาติสงสัยว่าจะเป็น โรคนี้ หรือมีอาการสับสนเฉียบพลันหลังป่วยด้วยโรคอื่น หรือเกิดหลังผ่าตัด ฯลฯ
ภาวะของสมองที่ เสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ จนมีผลต่อ สติปัญญา อารมณ์ การตัดสินใจ การดำเนินชีวิต ประจำวัน อาชีพและสังคมในที่สุด ในอดีต เรามักเชื่อกันว่า อาการหลงลืมในผู้สูงอายุ เป็นเรื่องปกติของคนที่มีอายุมากขึ้น เป็นการหลงลืมตามวัยยิ่งมีอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งหลงมากขึ้น แต่ความเชื่อดังกล่าวไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ยังมีผู้ป่วยอีกส่วนที่มีอาการสมองเสื่อม ซึ่งเกิดจากทำงานของสมองใหญ่ผิดปกติ ทำให้มีผลต่อการประกอบกิจวัตรประจำวัน รวมทั้งพฤติกรรม บุคลิกภาพ และอารมณ์  
พ.ญ .สิรินทร ศิริกาญจน นายกสมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม กล่าวถึงภาวะสมองเสื่อมในประเทศไทยว่า เรามีผู้สูงอายุประมาณ 10 เปอร์เซ็นกว่า เมื่อไรก็ตามที่ผู้สูงอายุเกินกว่า10 เปอร์เซ็น เราเรียกว่าสังคมนั้นเป็นสังคมผู้สูงวัย ปัจจุบันเรามีประชากรซัก 60 กว่าล้าน คน ผู้สูงอายุก็มีประมาณ 6-7 ล้าน เรามีคนที่มีความสามารถทางสมองที่เปลี่ยนไปของผู้สูงอายุ ประมาณ10 เปอร์เซ็น ของผู้สูงอายุ จาก6 ล้านกว่าคน ของผู้สูงอายุ ก็มีประมาณ 600.000 กว่าคน ถ้าถามว่า หกแสนกว่าคนต้องป่วยไหม ถ้าคำนวณง่ายๆอย่างน้อยก็สามแสนคนขึ้นไป
สาเหตุที่เกิดโรค
ถ้าจะตอบแบบให้ง่ายๆก็คือมันเป็นโรคที่เกิดขึ้นในสมอง เสื่อมสลายลง กลุ่มที่มันเสื่อมเราเองก็ไม่ทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลุ่มนี้จะเกิดทางตะวันตก มาก โรคนี้ที่เรารู้จักกันดีที่เรียกว่า อัลไซเมอร์ ภาษาหมอเรียกว่าโรคที่เกิดจากการเสื่อมสลายของสมอง เริ่มต้นมันอยู่ในสมองตัวเนื้อสมองเองมันเสียไป ที่จริงในกลุ่มนี้ยังมีโรคอื่นๆอีกมากมายที่คุณๆไม่คุ้นชื่อ ลักษณะโรคทางเทคนิคก็แตกต่างกันออกไป อีกกลุ่มหนึ่งที่เจอก็คือเป็นเรื่องอื่นๆนอกสมองแล้วทำให้สมองเสียหายไป อันที่เจอบ่อยที่สุดก็คือ หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองมีความบกพร้อง เราเรียกสมองเสื่อมที่เกิดจากหลอดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ เจอในคนไข้ที่มีความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดมาก กลุ่มนี้ก็จะมีหลอดเลือดตีบ เช่นตีบที่หัวใจ ตีบที่สมอง ถ้าไปโดนที่เรื่องของความรู้ความจำความสามารถคนไข้อาจเกิดอาการสมองเสื่อมได้ ในตะวันตกเราพบโรคอัลไซเมอร์มากกว่าหลอดเลือด ส่วนทางตะวันออกเราพบปัญหากล่ำกึ่งกัน ระหว่างอัลไซเมอร์กับหลอดเลือด
จริงๆแล้วเรามีสังคมที่แก่ลง คือเรามีคนสูงอายุมากขึ้น คือโรคมันมีอยู่แล้วมันอาจพุดขึ้นมาตอนอายุ 70-80  อันนี้ก็เป็นเพราะสังคมสูงวัยขึ้น ส่วนเรื่องของหลอดเลือดก็มีเพราะชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราใช้ชีวิตต่างออกไป ลองคิดดูสมัยก่อนกินข้าวเสร็จกินน้ำเปล่าอย่างเดียว ต่อมาเราก็มีน้ำอัดลมมีน้ำผลไม้ปั่น เราได้น้ำตาลเข้าไปเยอะ วิถีการกินเราเปลี่ยนไป ส่งผลต่อหลอดเลือด อาจารย์คิดว่าต่อไปเราก็อาจเจอคนที่เป็นสมองเสื่อมในอายุน้อยลง เราต้องปรับวิธีการกินของเรา อ่อนหวาน อย่ากินหวานมาก อย่ากันของมันๆเยอะ ต้องกินข้าวกินผักกินเนื้อสัตว์ปานกลางกินน้ำมันน้อยๆ แล้วของหวานก็กินพอหอมปากหอมคอ พอ รู้จักกิน และออกกำลังกาย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนใกล้ตัวเราเริ่มมีภาวะสมองเสื่อมแล้ว
มันมีหลายแบบ หลายครั้งคนไข้กลุ่มหนึ่ง ก็จะมาแบบว่าพูดซ้ำๆหรือเล่าเรื่องซ้ำๆเดิมๆที่ตัวเองเป็นอยู่ เรื่องเดิมเรื่องเดียว พูดซ้ำๆอย่างเดิมอันนี้ผิดปกติแล้ว อาจจะยังไม่เห็นความเสื่อมอย่างชัดเจน หรือเกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างเช่น ขับรถชนอะไรมา กลับตอบไม่ได้ว่าไปทำอะไรมา คือเรื่องอะไรที่น่าจะจำได้กลับจำไม่ได้ อย่างนี้มันเป็นภาวะความเสี่ยงที่เป็นโรคความจำเสื่อมแล้ว
จากประสบการณ์ของคุณ คุณนวลศรี อนันตกูล ที่ดูแลพี่สาวที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมเล่าประสบการณ์ว่า พี่สาวป่วยเป็นโรคนี้มาตั้งแต่อายุ 52 ตอนนี้63  ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจว่าผิดปกติ พี่สาวไปซื้อกับข้าวแล้วลืมเอากลับมา คิดว่าเป็นการลืมแบบผู้สูงอายุ ทั่วไป  ตอนหลังลืมสุดๆ แกเป็นคนขับรถเก่งมาก แต่ขับรถไม่ได้เลย ไม่ใช้ว่าขับรถไม่ได้อย่างเดียวแต่ไม่ทราบว่ากำลังขับรถ แล้วก็ไม่ทราบว่าอยู่บนถนน ไม่ทราบว่าจะไปไหน ไม่ทราบหมดทุกอย่างเลย และอีกอย่างพี่สาวเป็นคนทำขนมเค้กเก่ง แต่ทำไม่ได้เลย แกลืมมาก ความสามารถลดลง
ส่วนคุณ แม่ทัพ ต. สุวรรณ ที่ดูแลคุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม กล่าวว่า จริงๆทุกๆ6เดือน มันมีอะไรใหม่ๆตลอด เหมือนกับความรู้ความเข้าใจความสามารถเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่โชคดีที่ทุกวันนี้ท่านยังเดินได้ เคียวข้าวได้ แต่เรื่อง พูด เขียนหนังสือนั้นหายไป ก่อนหน้านี้เราไม่คอยได้รับความร่วมมือจาก การทานอาหารเท่าไหร่ จะคล้ายเด็กๆ กินสี่ห้าคำแรก ตอนหิว พอมีอาหารลงไปในท้อง ก็หันหน้าหนีบ้างลุกเดินหนีบ้าง แต่วันนี้ก็ดีขึ้น อาการจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีอะไรแปลกๆให้เราได้แก้เรื่อยๆ อย่างที่อาจารย์บอกคนเป็นโรคนี้จะทำอะไรไม่มีเหตุมีผล เวลาเดินก็จะเดินจนหน้าติดกำแพงถึงจะหยุดก็มี มีอยู่คืนหนึ่งแกลุกขึ้นมาเดินแล้วก็ไปล้มก้นกระแทก ทำให้กระดูสันหลังทรุดไปสองข้อ เราไม่รู้เรื่อง คนที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมเราต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
รายงานขององค์การโรคอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ(Alzheimer’Disease International: ADI) ปี พ.ศ.2553 ระบุว่ามีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั่วโลกมากกว่า 35 ล้านคน อยู่ในเอเชียอาคเนย์ 2.4 ล้านคน ในประเทศไทยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ซึ่งทำงานสำรวจในประชากรโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่4 ในปี พ.ศ.2551-2552 จำนวนทั้งสิน 21,960 คน มีผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป จำนวน 44%  หรือ 9,720 คน พบว่า ผู้สูงอายุ ที่อายุ 60ปีขึ้นไป มีภาวะสมองเสื่อม 12.4% โดยในผู้ชายพบ9.8% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่15.1% แบ่งตามช่วงอายุ 60-69 ปี อยู่ที่7.1% ช่วงอายุ 70-79 ปีอยู่ที่ 17.4% และอายุ80ปี ขึ้นไปพบสูงถึง32.5%  ขณะที่ข้อมูลผลการสำรวจ ประชากรสูงอายุ ปี พ.ศ.2553 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติ สัดส่วนผู้สูงอายุที่12% ของประชากรและประมาณว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 17 % ในปี 2563 โดยประมาณของผู้ป่วยสมอง เสื่อมทั้งประเทศมีอย่างน้อย 3 แสนคน และที่น่าตกใจคือ กว่า90% ผู้ป่วยเหล่านี้ รวมทั้งญาติและผู้ดูแลไม่ทราบว่าเป็นสมองเสื่อม

ในภาวะปัจจุบัน สิ่งที่จะมาทำลายสมองมีมากมายหลากหลายสาเหตุ ความเคียด  การใช้ยาบางชนิด อาหารการกิน และอีกหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน สังคมที่แข่งขันกันในทุกด้านทำให้การดำเนินชีวิต ของคนเมือง เปลี่ยนไป ความรีบเร่ง การกินอย่างรีบด่วน และการใช้ชีวิตอย่างไม่ดูแลสุขภาพ ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ รวมทั้งโรคสมองเสื่อม
โรคภาวะสมองเสื่อมเป็นโรคที่ยังไม่มียาตัวไหนที่จะรักษาให้หายขาดได้ คนที่เป็นมีความทุกข์พอๆกับคนรอบข้างที่ดูแล บางคนเคยเป็นคุณพ่อที่เก่ง บางคนเคยเป็นคุณแม่ที่ดี ในอดีต ปัจจุบันความไร้สามารถเข้ามาแทนที่ คนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้อาการคนไข้นั้นดีขึ้นหรือแย่ลง  ถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่ต้องดูแลคนไข้ที่ป่วยให้เราทำความเข้าใจกับตัวเองว่า เราไม่ได้ป่วย เรากำลังดูแลคนป่วย ที่ไม่มีเหตุผลในการแสดง พฤติกรรมต่างๆ ที่ผิดเพียนไปในชีวิตประจำวัน อย่าไปถือสาอะไรกับคนป่วยโรคสมองเสื่อม  ถ้าสังคมรอบข้างคนป่วยเข้าใจ บางที่อาการที่เลวร้ายต่างๆก็อาจดีขึ้นไม่มากก็น้อย