เราจะปกป้องศาสดามูฮำหมัด(ซ.ล)กันอย่างไร…..
คอลัมน์วิพากสังคมมุสลิม
โดยอดัมชินจัง
ตั้งแต่มีเหตุการณ์ที่นาย แซม
เบซิล ซึ่งเป็นนามแฝง “ชาวอียิปต์
นับถือศาสนาคริสต์ นิกายคอปติก” ทำหนังสั้นเรื่อง
ดิ อินโนเซนส์ ออฟ มุสลิมออกมา ดูหมิ่นนบีมูฮำหมัด(ซ.ล)ศาสดาองค์สุดท้ายของศาสนาอิสลาม
จนกลาย เป็นเรื่องราวลุกลามใหญ่โตหวุดหวิดจะกลายเป็นสงครามศาสนาย่อยๆ
กระจัดกระจายไปทั่วโลก และยิ่งเอกอัครราชทูตอเมริกาเสียชีวิตในประเทศลิเบีย
ยิ่งสร้างความโกรธแค้นระดับประเทศ ไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากพิษภัยของการลบหลู่
ดูหมิ่นในศาสนาอิสลาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มุสลิมทั่วโลกตื่นตัวกันมากในเรื่องทีเราจะต้องปกป้องนบี
ร่วมถึงประเทศไทยเราด้วย สื่อมุสลิมในหลายๆค่ายได้ออกมาเล่นข่าวนี้กันมากมาย
และพร้อมที่จะเป็นหัวขบวนในการเดินทางไปประท้วง ทั้งเฟสบุค และทวิตเตอร์
มีมุสลิมได้แสดงออกถึงการที่เราจะเป็นหนึ่งในเรื่องของการรักนบีและต้องปกป้อง
เด็กๆชูป้ายเขียนข้อความเรารักนบี และหลายหน้าเพจหลายๆหน้าที่แสดงออกถึงการรักนบี
มุสลิมส่วนใหญ่ในประเทศตื่นตัวกับหนังสั้นที่ยาวไม่ถึง15นาทีกันมาก
ผมนั่งดูคลิปดังกล่าวที่ดูหมิ่นนบีอันเป็นที่รักของเราทุกคนและติดตามข่าวดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมุสลิมการเรียกร้องของนักปราชญ์ให้ออกมาต่อต้านหรือตอบโต้การหมิ่นดังกล่าว
สื่อในsocial mediaได้โหมกระหน่ำในหน้าเพจมุสลิมและได้ยินเสียงแว่วๆจากช่องสีขาว
ว่าจะทำหนังเกี่ยวกับนบีออกมาในอนาคตให้คนต่างๆได้รู้และเข้าใจ
จากเหตุการณ์ดังกล่าวผมลองเอาปัญหาที่นบีของเราถูกดูหมิ่นมานั่งคบคิดและลองขยายกรอบความคิดให้กว้างออกไป
และกรอบของเวลาให้ยาวนานขึ้น ทำให้เห็นอะไรต่างๆมากมายจากกลุ่มพี่น้องมุสลิมของเรา สำนักจุฬาฯที่เป็นผู้นำระดับประเทศแสดงบทนิ่งเฉย
กลุ่มคนทำสื่อมุสลิมในช่องต่างๆได้ออกมาแสดงบทผู้นำในการเรียกร้องแสดงออกถึงการรักนบี
ชูป้ายเดินประท้วงและร่วมละหมาดหน้าห้างดังกลางเมืองหลวงและคนทำสื่อก็เอาไปขยายความในสื่อที่ตัวเองสังกัดบอกให้มุสลิมที่ไม่ได้ร่วมขบวนได้รับรู้ถึงพลังในการแสดงออกของพี่น้องเรา
และกระแสการรักนบีก็ดังกระหึ่มในหน้าออนไลน์
ถ้าเรามองถึงปัญหาดังกล่าวเราจะพบอะไร
การดูถูกเหยียดหยามนบีอันเป็นสุดที่รักของเรามันเกิดขึ้นมาตอนไหนมันเป็นคำถาม มันเกิดขึ้นมาตั่งแต่นบีของเราเริ่มประกาศศาสนาวันแรก
ที่อัลเลาะห์สั่งใช้นบีให้เริ่มทำงานเรียกร้องมนุษย์ชาติสู่ศาสนาอิสลาม โอ้ผู้ห่มกายอยู่เอ๋ย
!จงลุกขึ้น แล้วประกาศตักเตือน ซูเราะฮฺ อัล-มุดดัษษิร วันแรกที่นบีเริ่มประกาศจนถึงวันที่ศาสนาสมบูรณ์
และมาถึงเราในยุคปัจจุบันที่มีคนนับถืออิสลามประมาณเกือบสองพันล้านกว่าคน
อิสลามได้ถูกต่อต้านมาต่างๆนานาทั่งที่ลับและเปิดเผยทั้งล้อเลียนและดูหมิ่น
มาในรูปของตัวการ์ตูนที่แฝงนัยยะทางศาสนาบ้างหรือนิทานหรือจะเป็นเพลงหรือหนังสั้นของนายแซม
เบซิล ดังกล่าว การทำอย่างเปิดเผยตัวก็มี ถ้ามองดูสิ่งที่ใกล้ตัวสำหรับคนในประเทศไทย
ตัวอย่างเช่นแอ๊ดคาราบาว หรือจะเป็นดีเจเอฟก็เคยทำ ผมคงไม่ต้องขยายความถึงสิ่งดังกล่าว
ถ้าใครเคยดูป๊อบอายในอดีตและคิดตามก็คงเข้าใจหรือนิทานเด็กเลี้ยงแกะหรือเพลงสากลที่วัยรุ่นมุสลิมชอบฟังหารู้ไม่ว่ามันเป็นเพลงที่ร้องและเล่นกันในโบสถ์และอีหลายกรณีอันนี้ยังไม่รวมกรณีที่มุสลิมโจมตีกันเองที่ปฎิบัติศาสนาไม่เหมือนกันถูกดูหมิ่นและบางครั้งก็ทำตัวเป็นเจ้าของสวรรค์เจ้าของนรก
แล้วปัญหามันคืออะไรถ้าเรามองลึกไปถึงปัญหาโดยกรอบความรู้และความเข้าของผมปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นมาคือศัตรู
หมายเลข1ของอิสลาม คือ ยิว (ไซออนิส)ชนชาติที่จะทำอย่างไรก็ได้ที่ทำให้มุสลิมตกต่ำขาดเอกภาพและทำให้มุสลิมที่อ่อนในความเข้าใจอิสลามเดินตามและเห็นดีด้วยกับมัน
สิ่งที่มุสลิมได้ออกมาเดินเรียกร้องเดินขบวนนั้นเป็นแค่ปลายเหตุและก็แก้ไขอะไรไม่ได้
นอกเสียจากความสะใจของคนบางกลุ่ม ถ้าแสดงออกมากไปก็อาจทำให้เกิดความรำคานและต่อต้านของคนรอบข้างที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ
(ถ้าไม่เชื่อลองเดินขบวนประท้วงตอนห้าโมงเย็นวันศุกร์สิ้นเดือนดู)จากความเห็นใจและอย่างรู้ความเป็นมาอาจนำไปสู่การเกลียดชังก็ได้
แล้วมุสลิมจะแสดงออกอย่างไรนั้นแหละคือสิ่งที่มุสลิมต้องกับมานั่งคิดและวิเคราะห์
อย่างไหนเป็นการแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด อิสลามสอนให้มุสลิมทุกคนรู้ว่าเราจะทำสิ่งไหนก็แล้วแต่
มันจะมีกฎเกณท์ในการทำอยู่ สามระดับ ได้,ดี,ดีที่สุด เช่น การละหมาด
ละหมาดที่บ้านได้ไหม ได้ ถ้ามาละหมาดที่มัสยิด อันนั้นดี แต่ถ้ามานั่งรอละหมาด
สุดยอดแล้ว คือดีที่สุด
แล้วการแสดงออกสิ่งดังกล่าวมุสลิมจะทำอย่างไรในเมื่อมันทำหนังสั้นออกมาเราต้องทำหนังสั้นสู้กับมันเหมือนแบบเกลือจิ้มเกลือ
หรือจะเดินขบวนแสดงถึงความมีพลังของพี่น้องมุสลิมที่รักนบี
หรือตอบโต้กันในหน้าเว็บเพจ
ปัญหาที่แท้จริงมันไม่ได้อยู่ที่ยิว คนนั้น
หรือคนกลุ่มไหนที่จะทำลายอิสลามแต่ปัญหามันคือ
มุสลิมนั้นเองที่ทำให้อิสลามเราตกต่ำ วันนี้เราเรียกร้องในการแสดงพลัง รวมพลคนรักนบี ขอถามเรารักนบีกันแบบไหน เดินชูป้ายรักนบีและรวมละหมาดกันหน้าห้าง
กลางกรุงเทพฯอย่างนั้นหรอ สิ่งนี้หรือพี่น้องที่บอกว่าเรารักนบี
ไม่ใช่หรอก
ใครก็ตามที่ปากบอกว่ารักนบีเขาหรือใครคนนั้นจะต้องลอกเลียนแบบพฤติกรรมของท่านนบีมาอยู่บนตัวเขาให้มากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการกินการนอนการดำเนินชีวิต มารยาททางสังคม การอยู่รวมกันกับครอบครัว
การค้าขาย บุคลิกลักษณะต่างๆและการทำอีบาดะห์
ต่ออัลเลาะห์(ซ.บ.)แล้วปัจจุบันสังคมมุสลิมเป็นอย่างไร ปากบอกว่ารักนบีแต่ไม่เคยไปมัสยิดเหมือนนบีเลย
(นบีไปละหมาดที่มัสยิดจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน)
เราบอกว่าเรารักนบีแต่ไม่มีบุคลิกและสัญลักษณ์อะไรที่บอกว่าเป็นมุสลิม
แล้วมุสลิมกับคนที่ดูถูกอิสลามอย่างไหนคือความแตกต่าง
คนที่น่ากลัวไม่ใช่คนยิวกลุ่มต่างๆที่เปิดเผยตัวในการทำให้อิสลามตกต่ำ
แต่เป็นคนอิสลามเองที่บอกว่ารักแต่ไม่ปฏิบัติอิสลามทำให้อิสลามตกต่ำดังเช่นปัจจุบัน
แค่พี่น้องมุสลิมขาดการพยายามบนอีหม่านไปสู่การปฎิบัติอาม้าลศาสนาอิสลามแค่นี้เราก็ตกต่ำแล้ว
เราเช็คอีหม่านมุสลิมกันอย่างง่ายๆถ้าถามว่ามีกี่คนในชุมชนมุสลิมที่ได้ละหมาดซุบฮี่
มีกีเปอร์เซ็นต์ เราบอกว่าเรารักนบี บนตัวเรามีซุนนะห์อะไรบ้างที่ทำเป็นประจำ
เราบอกว่าเรารักพี่น้องมุสลิมของเรา เราเคยดุอาถึงพี่น้องของเราจนหลั่งน้ำตาในสภาพความปวดร้าวที่พี่น้องเราประสบไหม
มันเป็นคำถามง่ายๆ อันนี้ต่างหากที่เป็นพลังที่แท้จริงในความรัก
ยิ่งพี่น้องมุสลิมเรียกร้องตัวเองให้มีความผูกพันกับมัสยิดมากเท่าไร
ยิ่งพี่น้องมุสลิมเรียกร้องตัวเองมาสู่การปฎิบัติสุนะห์มากเท่าไร
ยิ่งพี่น้องมุสลิมดุอาให้พี่น้องของเราจนมีน้ำตาอาบแก้มในความปวดราวที่พี่น้องมุสลิมเราได้เผชิญ
สิ่งต่างๆเหล่านี้ต่างหากที่เป็นพลังและเป็นการแสดงออกถึงการรักนบีที่เราได้เจริญรอยตามไปสู่ความรักและเป็นแนวทางที่ให้อัลเลาะห์พอใจ
....
สิ่งต่างๆเหล่านี้มันเป็นคำถามที่พี่น้องมุสลิมต้องช่วยกันตอบ
เมื่อวันหนึ่งอิสลามได้เข็มแข็งบนตัวของมุสลิมมากเท่าไร ภาพของความรักนบีก็จะเป็นรูปธรรมมากขึ้น
มุสลิมร้อยเปอร์เซ็นในชุมชนต่างๆเดินมาสร้างความจำเริญให้กับมัสยิด ภาพของมุสลิมปรากฎไปตามตรอกซอกซอยทั่วหน้าแผ่นดิน
ภาพสังคมแห่งอิสลามมีชีวิตเกิดขึ้น เราไม่ต้องพูดหรอกว่าเรารักนบีถ้าภาพนั้นมันปรากฎไปทั่วในสังคม
ใครจะทำร้ายหรือใครจะดูหมิ่น ก็ทำอะไรสังคมมุสลิมไม่ได้
ถ้าพลังดังกล่าวปากฎอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม